สมาร์ทการ์ด ลอตที่สอง เตรียมส่งมอบครบ 26 ล้านใบ!
Posted by admin on
July 31, 2008
ดร.มั่น พัธโนทัย รมว. กระทรวงไอซีที โชว์บัตรประชาชนอเนกประสงค์ หรือ สมาร์ทการ์ด ลอตที่สอง จะส่งมอบครบ 26 ล้านใบในเดือน ม.ค. 2552 บัตรรุ่นใหม่มีลวดลายการพิมพ์ลายเส้นชนิด Security บรรจุไมโครชิพ หน่วยความจำ ขนาด 64 K มีระบบป้องกันการปลอมแปลง ที่ช่วยให้ทำธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างปลอดภัย และโปรแกรมอ่านลายนิ้วมือ เพื่อใช้ยืนยันตัวบุคคลผู้ถือบัตร
ที่มา : http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=171890&NewsType=1&Template=1
ความคิดเห็นจาก IT.SIAMHOST4U.COM
Tags: smart cardก็ดีครับ ส่งมอบเร็วๆๆ ครับ เราจะได้ใช้กันซักที ไม่รู้ว่ามีใครที่กำลังอ่านอยู่นี่ได้ใช้กันบ้างแล้วหรือยังนะครับ แต่ผมยังไม่เคยได้ใช้เลย (โชว์บ้านนอกอีกแล้วครับ อิอิ) ยังเป็นบัตรธรรมดาอยู่เลย แหม..แต่ก็นานนะครับเห็นบอกจะส่งมอบเดือน มค. 52 แต่ก็นะครับ..เป็นเรื่องปกติของ… เอ่อ… ต่อกันดีกว่าครับ เห็นบอกว่ามีหน่วยความจำเก็บได้ 64K ก็ดีนะครับไว้เก็บข้อมูลอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้ เรื่องระบบความปลอดภัยก็ดีขึ้น แถมยังทำให้การยืนยันการเป็นเจ้าของบัตรง่ายขึ้นไปอีกครับ ทำให้ปลอดภัยมากๆ เลยทีเดียวครับ แต่จริงๆ ผมไม่อยากให้ทำได้แค่นั้นครับ อิอิ (เอาอีกละ) น่าจะทำเป็น Thumb Drive ขนาดย่อม เก็บไว้ในบัตรด้วยเลย ฮ่าๆๆๆ ดีมะหล่ะครับ?ทีนี้ไม่ต้องง้อ Kingston เลย ขอซัก 1 GB แจกฟรีทุกคนนะครับ เท่านี้ก็สบายแล้ว ฮ่าๆๆ ไปไหนก็เอาสมาร์ทการ์ดเสียบเลย โห่ว แหล่ม.. คิดปายได้
นายแอนตี้….
?
tags: smart card
No Comments
จุดจบของผู้สื่อข่าวโทรทัศน์!
Posted by admin on
July 31, 2008
อีกข่าวนึงครับจาก กรุงเทพธุรกิจ?ซึ่งเป็นข่าวเกี่ยวกับจุดจบของผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ในยุคปัจจุบันครับ เนื่องจากโลกอินเทอร์เน็ตมาแรงมากครับ เรามาดูเนื้อข่าวกันครับ
Charles Tillinghast ประธาน MSNBC.com ซึ่งเป็นการรวมตัวของสถานีโทรทัศน์ NBC และ Microsoft ออกมายอมรับว่า การรายงานข่าวทีวีเพียงอย่างเดียวกำลังจะหมดไป ต่อไปนี้จะเป็นเวลาของการรายงานข่าววีดีโอ โดยแนวคิดเก่าๆ ที่ให้นักข่าวออกไปทำข่าวหรือสกู๊ปเพื่อมาออกในรายการทีวีโดยเฉพาะนั้น เป็นเรื่องที่หมดยุคแล้ว
?เมื่อไรก็ตามที่นักข่าวของ MSNBC ออกไปทำข่าว พวกเขาจะไม่ทำข่าวเพียงเพื่อมาออกทีวี หรือรายการใดรายการหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาจะต้องคิดและวางแผนเพื่อทำข่าวออกมานำเสนอได้ในทุกๆ ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นรายการทีวี, เคเบิล, MSNBC.com, หรือแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือ?
ประธาน MSNBC.com กล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกวันนี้อะไรก็ตามมีความเกี่ยวข้องกับวีดีโอไปหมด และผู้คนก็สามารถดูวีดีโอได้ในทุกๆ ที่ที่เขาไป และเชื่อว่าการรายงานข่าววีดีโอไม่เพียงแต่จะอยู่รอดเท่านั้น มันกำลังเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ
?อย่างไรก็ตาม นักข่าวเก่าๆ ที่ยังไม่เปลี่ยนความคิดก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตกงาน ผมคิดว่านักข่าวที่มีช่องทางการนำเสนอข่าวแบบดั้งเดิมอย่างเช่น New York Times คงไม่หมดไป ถ้าพวกเขายอมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง?
สำหรับ New York Times ซึ่งเป็นสื่อหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา มีตัวเลขรายได้และกำไรลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี โดยในไตรมาส 2 ของปีนี้ รายได้โฆษณาลดลงถึง 11.8% ซึ่งทำให้รายได้รวมทั้งหมดลดลงถึง 6.7% เลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์ New York Times ซึ่งขณะนี้มีส่วนที่เป็นวีดีโอออนไลน์ด้วย ก็มีรายได้เพิ่มขึ้น 18% แต่ถือว่ายังไม่พอในการห้ามเลือดที่ไหลไม่หยุดในขณะนี้ได้
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/2008/07/31/news_281069.php
?
ครับ ส่วนความคิดเห็นของผมนะครับ อีกหน่อย นักข่าวทางโทรทัศน์ก็คงจะลำบากหน่อยครับ หากยังไม่รีบปรับตัวให้ทันกับยุคกับสมัยในปัจจุบันนี้ครับ แต่ไม่รู้สิครับ ผมว่ายังไง ก็คงยังไม่ตกงานกันหรอกครับ เพราะคนส่วนใหญ่ตอนนี้ก็ยังนิยมที่จะดูผ่านทางโทรทัศน์มากกว่า แต่อีกซัก 20-30 ปี ก็ไม่แน่ครับ เพราะคนยุคที่อยู่ก่อนอินเทอร์เน็ทมา ก็อาจจะล้มหายตายจากกันไปหมดแล้วครับ ที่เหลือก็เหลือแต่เด็กยุคเทคโนโลยีล้ำสมัยทั้งนั้นครับ ถึงยุคนั้นแล้วทีวีก็อาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นอีกต่อไปครับ
แอนตี้…
Tags: news-ittags: news-it
No Comments
10 อันดับตอนจบหนังชวนประทับใจ !
Posted by admin on
July 31, 2008
วันนี้ผมได้เจอข่าวนึงครับจาก ผู้จัดการออนไลน์ พาดหัวว่า 10 อันดับตอนจบหนังชวนประทับใจ โว้ว .. พาดหัวก็น่าติดตามแล้วว่า ไอหนังที่เราเคยๆ ดูกันไปบ้างเนี่ย มีเรื่องไหนที่ติดอันดับบ้างหรือเปล่าหว่า หุหุ… เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
คือข่าวนี้เนี่ย เขาบอกว่านาย????ร็อบบี คอลลิน (ไม่ใช่ร๊อบบี้คลีนนะ – -”)?นักวิจารณ์ภาพยนตร์ชื่อดัง เขาได้คัดเลือกเอาไว้ครับ ไปดูกันดีกว่าครับว่ามีเรื่องอะไรบ้าง เด่วเราจะไล่จากอันดับ 10 ขึ้นไปแล้วกันนะครับ
10.?? THE BLAIR WITCH PROJECT 1999
?
บอกตามตรงครับว่าเรื่องนี้ผมไม่เคยดู และพอมาอ่านเจอข่าวนี้ ก็ไม่อยากดูด้วย ไม่ใช่อะไรครับ มันน่ากลัวเหลือเกิน ยังไงลองดูกันเองแล้วกันนะครับ :p
9. BACK TO THE FUTURE 1985
หนังเรื่องนี้ผมเคยดูนะครับ…แต่นานมากแล้ว – -” คือแบบว่าจำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว แต่จำได้ว่าตอนนั้น ดูตอนจบแล้วก็ชวนให้น่าติดตามเหมือนกันครับ อิอิ
?
8. A CLOCKWORK ORANGE 1971
เรื่องนี้ผมก็เกิดไม่ทันครับไม่ได้ดูครับ ลองดูแล้วกันนะครับว่ามันมีความน่าประทับใจอย่างไร
7. IT?S A WONDERFUL LIFE 1946
?
เกิดไม่ทันอีกเช่นเคยครับสำหรับหนังเรื่องนี้ แหม..ก็เล่นซะปี 1946 – -” แต่เท่าที่ดูแล้วก็น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเลิฟๆ นะครับ อิอิ
6. THE SIXTH SENSE 1999
?โอ้วว…ในที่สุดหนังที่เราเคยดูก็มาถึงบ้างแล้ว ๕๕๕ เรื่องนี้เกิดทันครับผม เคยดูเมื่อนานมาแล้ว(แต่ก็ยังเคยดูนะอิอิ) แต่จำเนื้อเรื่องไม่ค่อยได้แล้ว รู้แต่ว่านำแสดงโดย บรูซ วิลลิส?แต่พอกลับมาดูตอนจบอีกทีมันก็มึนๆ งงๆ นะครับ แต่ก็รู้ว่าเศร้ามาก ยังไง ลองดูกันครับ
5. THE EMPIRE STRIKES BACK 1980
ผมจำไม่ได้ว่าได้ดูภาคนี้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือได้ดูไม่รุ้ภาคไหนครับ อิอิ ส่วนเรื่องนี้ความประทับใจของฉากจบเห็นในข่าวบอกว่า เป็นตอนที่ดาร์ท สารภาพกับ ลุค และความยอดเยี่ยมในการฉายเดี่ยวของฮานในตอนท้าย ครับ
4. RAIDERS OF THE LOST ARK 1981
ส่วนเรื่องนี้ก็เกิดไม่ทันอีกแล้วครับ?ยังไงลองดูกันครับว่าทำไมถึงติดอยู่อันดับ 4
3. THE USUAL SUSPECTS 1995
?
?เรื่องนี้เห็นว่า ตำรวจมารู้ที่หลังว่าที่เพิ่งเดินออกไปจากสถานีตำรวจนั่นคือผู้ร้ายที่ก่อคดีมาทั้งหมดนั่นเอง ช๊อคจนถ้วยกาแฟตกลงบนพื้น แตกกระจาย แหมเสียดายแทนอิอิ
?2. MEMENTO 2000
อันดับ 1. THE SHAWSHANK REDEMPTION 1993
บอกได้คำเดียวครับว่าสุดยอด… ลองดูกันครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับ สำหรับ 10 อันดับตอนจบหนังชวนประทับใจ ทั้ง 10 เรื่อง หวังว่าคงจะชอบกันนะครับ
ที่มา : http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9510000089787
?
?
Tags: ภาพยนตร์tags: ภาพยนตร์
No Comments
ดาวน์โหลดหนัง…ช่วยประหยัดและรักษาสิ่งแวดล้อม?
Posted by admin on
July 30, 2008
ผลสำรวจล่าสุด ระบุ การดาวน์โหลดหนังช่วยประหยัดเงินและรักษาสิ่งแวดล้อม แต่จริงๆ แล้วเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดหรือไม่
จากผลสำรวจล่าสุดของ CinemaNow.com ผู้ให้บริการดาวน์โหลดหนังในรูปแบบต่างๆ พบว่าคนอเมริกันมองว่าการดาวน์โหลดหนังมาดู เป็นความสะดวกและการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่ง มากกว่าที่จะต้องขับรถไปโรงหนังหรือร้านเช่าดีวีดีใกล้บ้าน
?
?
โดยคนส่วนใหญ่ หรือ 94% ของคนทั้งหมดที่สำรวจ เชื่อว่าพวกเขาสร้างประโยชน์ให้แก่สิ่งแวดล้อมด้วยการดาวน์โหลดหนังออนไลน์ แทนที่จะขับรถไปเช่าหรือซื้อดีวีดีจากร้าน ซึ่งทำให้เป็นการประหยัดน้ำมันรถไปในตัวด้วย
“ในภาวะที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นทุกวันแบบนี้ ผลสำรวจที่ได้จึงไม่น่าแปลกใจเลยครับที่คนชอบดูหนังจะเปลี่ยนพฤติกรรมไปจากเดิม ที่น่าตกใจคือผลสำรวจบอกว่าคนจำนวนมากชอบคริสเตียน เบล ในชุดแบทแมนภาคนี้มากเลยทีเดียว” แอชลีย์ วู้ดเวิร์ด รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของ CinemaNow.com กล่าวติดตลก
ผลสำรวจยังระบุว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่หรือประมาณ 51% ยังชอบไรท์หนังลงบนแผ่นดีวีดีไปดู ขณะที่ 18% ใช้การดาวน์โหลดหนังลงเครื่องเล่น mp3 หรือ IPTV แทน
อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าผลสำรวจนี้ดำเนินการโดยผู้ให้บริการดาวน์โหลดหนัง จึงอาจมีความไม่เป็นกลางเกิดขึ้นได้ รวมถึงการนำข้ออ้างเรื่องการดาวน์โหลดหนังส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม ก็อาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียทีเดียว เพราะเมื่อเปรียบเทียบการที่ผู้บริโภคแต่ละคนเลือกดาวน์โหลดหนังไปดูกันเองที่บ้าน ซึ่งแยกกันดูในจอคอมพิวเตอร์หรือจอโทรทัศน์ในทุกๆ บ้าน กับการดูหนังพร้อมๆ กันเป็นร้อยคนในโรงหนัง
…แบบไหนจะประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่ากัน
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com
Tags: downloadtags: download
2 Comments
ทำไม Google Video ยังไม่ตายเสียที?
Posted by admin on
July 30, 2008
บางคนอาจไม่เคยได้ยินชื่อ Google Video เพราะรู้จักแต่ YouTube จึงมีคำถามว่า Google จะเก็บเว็บวีดีโอไว้ถึง 2 เว็บทำไม
?คงไม่มีใครเถียงว่าในปัจจุบันนี้ Google เป็นผู้คุมตลาดเว็บไซต์วีดีโอออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด เพราะมีข้อมูลวีดีโอประมาณ 34% ของทั้งหมด ห่างจากคู่แข่งอันดับสองของตลาดอย่าง Fox Interactive ซึ่งมีส่วนแบ่งเพียง 6% เท่านั้น
?
?
ใครๆ ก็รู้ว่าส่วนแบ่งอันมโหฬารของ Google นั้นมาจากเว็บไซต์วีดีโอชื่อดังอย่าง YouTube ซึ่งมีปริมาณคลิปวีดีโอมหาศาล แต่ใครจะนึกบ้างหรือไม่ว่าจริงๆ แล้ว Google ยังมีเว็บไซต์วีดีโออีกเว็บที่จะเรียกว่าเป็น house brand ก็ได้ นั่นก็คือ Google Video นั่นเอง
?YouTube เป็นเว็บไซต์วีดีโอที่คนส่วนใหญ่ ประมาณ 4 ใน 10 คนนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ ส่วน Google Video ไม่มีใครนึกถึงเลย? อดัม ไรท์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยตลาด Ipsos MediaCT กล่าว
ดังนั้น จึงมีหลายคนสงสัยว่าถึงแม้ Google Video ยังคงมีผู้ใช้ที่จงรักภักดีอยู่ แต่ทำไมไม่รวมเว็บนี้เข้ากับ YouTube ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ในเมื่อมันก็เป็นเว็บไซต์วีดีโอเหมือนกัน และ Google เองก็กำลังอยู่ในช่วงลดค่าใช้จ่ายของบริษัทอยู่ด้วยในขณะนี้
นอกจากนี้ ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา มีข้อร้องเรียนจากผู้ใช้มากมายถึงข้อบกพร่องของ Google Video แต่ก็ไม่เคยได้รับการแก้ไขจากบริษัทเลย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจริงๆ แล้วการบริการลูกค้าของ Google Video ไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม ข้อดีของ Google Video ที่เหนือกว่า YouTube ก็คือผู้ใช้สามารถอัพโหลดวีดีโอได้ยาวอย่างเหลือเชื่อ บางคลิปวีดีโอยาวกว่า 1 ชั่วโมงด้วยซ้ำ ขณะที่ YouTube อนุญาตให้ผู้ใช้อัพโหลดได้แค่ 10 นาทีเท่านั้น แต่คำถามก็คือปกติแล้วเราดูวีดีโอกันนานเป็นชั่วโมงหรือไม่ และอันที่จริงขณะนี้ YouTube ก็กำลังทดสอบระบบเพื่อเปิดให้สมาชิกอัพโหลดวีดีโอได้ถึง 1 ชั่วโมงเช่นกัน ซึ่งถ้าเริ่มให้บริการเมื่อไหร่ ข้อดีของ Google Video ก็จะหมดไปในทันที
ขณะที่โฆษกของ Google ออกมาแก้ต่างว่า จุดเด่นของ Google Video ไม่ได้มีดีแค่นั้น เนื่องจากจุดแข็งของ Google นั้นมีความเชี่ยวชาญในด้าน search engine เป็นอย่างมาก ทำให้ search engine ต่างๆ สามารถแยกแยะและค้นหาวีดีโอจาก Google Video ได้เป็นอย่างดี
แต่ข้อดีที่ว่านี้ก็ถูกพูดถึงมา 2 ปีแล้ว ตั้งแต่ เอริค ชมิดท์ ซีอีโอของ Google ออกมาบอกว่า Google Video มีพันธมิตรมากมาย คลิปวีดีโอก็เยอะแยะ แถมจะมี YouTube มาช่วยเสริมทัพอีกด้วย แต่จนถึงวันนี้ Google Video ก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหนเลย
ปัญหาก็คือขณะนี้ Google จะเอาอย่างไรกับ Google Video ซึ่งดูเหมือนจะไม่เติบโตไปมากกว่านี้ และข้อดีที่อ้างว่า search engine หาเจอง่ายก็ไม่ได้ทำให้มันเป็นเว็บไซต์วีดีโอที่ดีเด่นอะไร
ที่สำคัญคือถ้า search engine หาวีดีโอใน Google Video เจอ แล้วทำไมจะหาวีดีโอใน YouTube ไม่เจอ แล้วทำไมไม่ให้ search engine หา YouTube เจอแห่งเดียวไปเลย…นี่คือเรื่องแปลก
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com
Tags: google videotags: google video
No Comments
ไอทีไทยไปไอทีโลก!
Posted by admin on
July 30, 2008
ปีเตอร์ รีดบอกว่าบอลไทยจะไปบอลโลกได้ในปี 2014 หลายคนอาจหัวเราะ แต่ว่าถ้าเปลี่ยนมาเป็นไอทีไทยล่ะ อนาคตของมันเป็นไปในทางเดียวกันหรือเปล่า?
ในบทความ 3 ปีกับประสบการณ์ที่ได้จากการทำ Blognone ผมเขียนไว้ว่าวิสัยทัศน์ของ Blognone มีสามอย่าง
- เป็นเว็บข่าวไอทีที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับ
- สร้างโมเดลธุรกิจที่เลี้ยงตัวเองได้
- เป็นแพลตฟอร์มเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมไอทีของประเทศ
เวลาผ่านไปเกือบหนึ่งปี ผมคิดว่าได้เวลากลับมาทบทวนเป้าหมายนี้อีกครั้ง และถึงเวลาที่เราต้องกลับมาใคร่ครวญวิสัยทัศน์ข้อสุดท้ายอย่างจริงจังกันเสียที
ผมคิดว่าคงไม่มีคนอ่าน Blognone คนไหนที่ไม่อยากเห็นอุตสาหกรรมไอทีพัฒนา ก้าวไกล และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ แน่นอนว่าปัญหาของอุตสาหกรรมไอทีไทยมีมากมาย แต่เรื่องที่น่าเศร้าคือเรามักเห็นโซลูชันดังต่อไปนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่เสมอ
- กระทรวงไอซีทีห่วย ไม่รู้เรื่องไอที ผู้บริหารไม่ใช้อีเมล
- ระบบการศึกษาไทยห่วย เด็กไทยจบออกมาแล้วไม่ได้เรื่อง ต้องปฏิรูปการศึกษา
- คนไทยไม่เก่งภาษาอังกฤษ ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ ทำไมต้องทำตามฝรั่ง
- เราจะโดนเวียดนามแซงแล้ว
- นักการเมืองโกงกิน
- ฯลฯ
ที่ผมบอกว่าน่าเศร้าไม่ใช่ว่าเรามองไม่เห็นปัญหาหรือทางแก้ แต่ว่าทางแก้ที่พวกเรามักพูดถึงกัน ไม่มีทางไหนเลยที่เราคิดจะแก้ไขกันด้วยตัวเอง มีแต่รอความหวังลมๆ แล้งๆ จากกระทรวงไอซีที กระทรวงการศึกษา นักการเมือง (ที่พวกเราบอกว่าห่วย) ทั้งนั้น
ผมเคยคิดแบบเดียวกันนี้ และเคยเข้าไปมีส่วนร่วมในหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบปัญหาเหล่านี้ตรงๆ ประสบการณ์การทำงานในหน่วยงานรัฐสอนผมให้รู้ซึ้งว่า อย่าคิดพึ่งพาหน่วยงานรัฐเลย มันไม่ได้ผลและไม่มีวันได้ผล (ด้วยปัญหาและข้อจำกัดของหน่วยงานรัฐที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว) ถ้าอยากได้อะไร มีทางเดียวเท่านั้นคือต้องทำเอง
ดังนั้นเพื่อค้นหาทางออกของอุตสาหกรรมไอทีไทย และสร้างค่านิยม ?อยากได้ต้องทำเอง? ให้แพร่หลาย ผมจึงขอชักชวนผู้อ่าน Blognone ทุกท่าน ร่วมเสนอไอเดียที่ทำได้จริงในทางปฏิบัติ และถกกันว่าข้อดีข้อเสีย อุปสรรคและทางแก้ไขของแต่ละไอเดียเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปอุตสาหกรรมไอทีที่เราสามารถทำได้ด้วยตัวของเราเอง
ผมเชื่อว่าด้วยความหลากหลายและความเชี่ยวชาญของชุมชน Blognone การแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย
(อ่าน Ask Blognone ตอนเก่า: ถ้าคุณได้เป็นรัฐมนตรี ICT?.. และ ระบบโครงสร้างไอทีแห่งชาติ ถนนสู่อนาคตเทคโนโลยีไทย ประกอบ)
ที่มา : http://www.blognone.com
tags: ไอที
No Comments
LG ประกาศลดกำลังผลิตจอ LCD!
Posted by admin on
July 29, 2008
LG ประกาศลดกำลังผลิตจอ LCD ลงประมาณร้อยละ 10 เพื่อลดผลกระทบจากภาวะจอ LCD ล้นตลาด ทำให้ราคาตกลงมาอย่างรวดเร็วในเดือนที่ผ่านมา ที่ราคาลดลงไปในเดือนเดียวถึงร้อยละ 10 เช่นกัน
ผู้ผลิตรายอื่นๆ ก็ประกาศลดกำลังผลิตกันอีกหลายรายเช่น CPT, CMO และ AU Optronics ยกเว้นแต่ซัมซุงที่ยังไม่มีแผนลดกำลังผลิตแต่อย่างใด
สำหรับผมลดลงช้าก็ไม่ว่ากัน แต่ขออย่าให้ขึ้นราคาก็พอ
ที่มา : http://www.blognone.com
Tags: LGtags: LG
No Comments
สนมั้ย? โซลาร์เซลล์วัตต์ละ 1 ดอลลาร์!
Posted by admin on
July 29, 2008
บริษัทสหรัฐคิดการใหญ่ แผงโซล่าร์เซลล์ธรรมดาไม่เอา แต่จะทำเป็นโรงไฟฟ้าเลย ที่สำคัญราคาสูสี
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์เปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ให้เป็นไฟฟ้าได้จริงอยู่ แต่ยังได้แรงดันไฟฟ้ากระจิริดเมื่อเทียบกับขนาดของตัวแผงโซลาร์เซลล์เอง ไหนจะต้องเสียเงินค่าแบตเตอรี่ชนิดพิเศษสำหรับเก็บกระแสไฟฟ้าอีก คนที่มีปัญญาใช้โซลาร์เซลล์จึงมีแต่คนรวยเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ การใช้งานชุดผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสดงอาทิตย์จึงจำกัดอยู่กับอุปกรณ์ที่กินกระแสไฟฟ้าไม่มาก เช่น ไฟตามสวนสาธารณะ ไฟแสดงเส้นจราจร
?
?
บริษัท เฟิร์ส โซลาร์ จากสหรัฐ คิดการใหญ่กว่านั้น ทีมวิศวกรมีแผนยกระดับโซลาร์เซลล์ให้ผลิตไฟฟ้าได้เทียบเท่า ไฟฟ้าพลังถ่านหิน
ไม่ได้มีสหรัฐประเทศเดียวเท่านั้นที่ต้องการดูดแสงอาทิตย์มาผลิตไฟฟ้าจ่ายไฟไปตามบ้านเรือนด้วยต้นทุนผลิตไฟฟ้าราคาถูก ทุกบริษัทแข่งกันคิดค้นนวัตกรรมผลิตแผงโซลาร์เซลล์ที่ให้กำลังไฟจำนวนมาก แต่ เฟิร์ส โซลาร์ ประกาศว่าบริษัททำได้สำเร็จแล้ว และไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดว่าทำอย่างไร
ต่อมา นักข่าวชาวอังกฤษใช้ความสามารถสืบข่าวเชิงสอบสวนร่วมกับนักฟิสิกส์ผู้เชี่ยวชาญด้าน “โซลิด-สเตท” วัสดุที่ใช้เป็นสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าตามจนพบข้อเท็จจริงว่า เฟิร์ส โซลาร์ ทำสำเร็จได้อย่างไร และได้ข้อสรุปว่า ความลับเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับแผงเซลล์แสงอาทิตย์เลย แต่อยู่ที่กรรมวิธีการผลิตมากกว่า กล่าวคือ แทนที่จะใช้ซิลิกอนเป็นสารกึ่งตัวนำไฟฟ้า บริษัทรายนี้เปลี่ยนมาใช้แคดเมียม และเทลลูเรียมแทน
รายละเอียดของการทำข่าวสืบสวนตีพิพม์ในวารสาร ไออีอีอี สเปคตรัม ฉบับเดือนสิงหาคม ริชาร์ด สตีเวนสัน
ก่อนหน้านี้ นักวิจัยส่วนใหญ่ยังสงสัยอยู่ว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะยังไม่มีใครสามารถใช้สารกึ่งตัวนำดังกล่าวมาทำโซลาร์เซลล์ให้มีขนาดใหญ่กว่าแสตมป์ได้เลย แต่เฟิร์ส โซลาร์ ปรับขั้นตอนการผลิตจนทำโซลาร์เซลล์แผ่นใหญ่ขนาดโปสเตอร์ และยังผลิตจำหน่ายให้แก่บริษัทด้านสาธารณูปโภคจำนวนหนึ่งในหลายประเทศ โดยเฉพาะเยอรมนี เพื่อใช้เป็นพลังงานทางเลือก
จากข้อมูลที่นักข่าวสืบมาพบว่า ต้นทุนการผลิตโซลาร์เซลล์ของเฟิร์ส โซลาร์ยังคงสูงกว่าต้นทุนผลิตพลังงานจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่บริษัทแจ้งนักลงทุนว่าจะลดต้นทุนให้ต่ำลงกว่านี้ ถ้าทำได้จริง และในยามที่ต้นทุนผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเพิ่มขึ้นไม่หยุด เซลล์แสงอาทิตย์ของเฟิร์ส โซลาร์จะราคาเท่ากับไฟฟ้าผ่านสายในอีกไม่กี่ปี
เทคโนโลยีดังกล่าวมีความเป็นไปได้สูงมากถึงขนาดมีคำถามตามมาว่า สารเทลลูเรียมจะมีมากพอตอบสนองความต้องการผลิตโซลาร์เซลล์ทั่วโลกหรือไม่ คำตอบคือ มีพอแน่ เพราะความต้องการที่เพิ่มขึ้นจะผลักดันให้เกิดการค้นหาแหล่งแร่ใหม่
เมื่อถึงวันนั้น โลกยามค่ำคืนอาจสว่างไสวด้วยพลังงานแสงอาทิตย์อย่างแท้จริง ที่สำคัญ ช่วยลดมลพิษได้อีกแรง
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com
Tags: solatags: sola
No Comments
Steve Jobs เปิดเผยความลับแล้ว!
Posted by admin on
July 29, 2008
CEO ของ Apple ผู้ทรงอิทธิพลคนนี้ ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของเขาแล้ว แต่เป็นเพียง “บางส่วน” เท่านั้น
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : หลังจากที่ข่าวคราวเกี่ยวกับสุขภาพของ Steve Jobs ซีอีโอแห่งบริษัท Apple ซึ่งดูท่าจะแย่ลงทุกวันๆ จนทำให้หลายคนสังเกตว่าเขาจะสามารถทำงานใน Apple ต่อไปได้หรือไม่ได้แพร่หลายออกไป ล่าสุด Steve ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูล ?บางส่วน? แล้ว
?
?
?
หากถามว่าสุขภาพของ Steve Jobs น่าสนใจใคร่รู้อย่างไร ก็ต้องตอบว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเพราะ Steve ถือได้ว่าเป็นบุคคลสาธารณะที่สำคัญยิ่งสำหรับลูกค้าของเขานับล้านๆ คนทั่วโลก รวมไปถึงนักลงทุน นักวิเคราะห์ และสื่อมวลชนด้วย เนื่องจากสินค้าของ Apple อันเป็นผลมาจากสมองอันปราดเปรื่องของ Steve นั้นได้สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ชาวโลกได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ Mac, เครื่องเล่นเพลง iPod, และโทรศัพท์ iPhone
ไม่เพียงเท่านั้น ความสงสัยในรูปร่างที่ผ่ายผอมลงของ Steve ในงานแถลงเปิดตัว iPhone 3G ก็ทำให้ทุกคนยิ่งเห็นภาพชัดมากขึ้นว่าเขาเปลี่ยนไปมากแค่ไหน รวมทั้งสงสัยว่าโรคมะเร็งตับอ่อนที่เขาตรวจพบในปี 2003 ซึ่งได้รับการรักษามาโดยตลอดนั้นจะกลับมาเป็นอีกหรือไม่ และนั่นก็ทำให้หุ้นของ Apple ตกลงทุกวันๆ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หุ้น Apple ตกลงถึง 11% ในชั่วข้ามคืนเลยทีเดียว นั่นก็แสดงว่า ?สุขภาพ? ของ Apple นั้นเกี่ยวพันกับ ?สุขภาพ? ของ Steve Jobs อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หรือถ้าจะพูดให้ง่ายก็คือ Steve Jobs คือ Apple และ Apple คือ Steve Jobs
ความสงสัยนี้ทำให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Apple ต้องออกมาตอบคำถามของสื่อในช่วงแรกๆ ว่าสุขภาพของ Steve นั้นปกติดี เขาเป็นเพียง ?โรคธรรมดาทั่วไป? เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล และเขาจะยังคงทำงานที่ Apple ต่อไป ส่วนเรื่องอื่นๆ นั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล
Joe Nocera ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ New York Times พยายามติดต่อหาข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้ที่เกี่ยวข้องใน Apple แต่ก็ล้มเหลวมาตลอด ไม่มีใครให้ข้อมูลเขามากไปกว่านี้ แต่เขาก็ยังไม่ลดละความพยายาม รวมทั้งยังเขียนคอลัมน์ถึงความกระหายใคร่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้หรือไม่ ในบทความที่ชื่อว่า Apple?s Culture of Secrecy และในที่สุด Steve ก็ติดต่อกลับมาหา Joe ด้วยตัวเอง พร้อมคำพูดเปิดการสนทนาที่แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่ง
?นี่ Steve Jobs พูด คุณคิดว่าผมเป็นพวกหยิ่งยโส (คำพูดจริงๆ หยาบกว่านี้) และเป็นพวกอยู่เหนือกฏหมายนักใช่มั้ย ผมก็คิดว่าคุณเป็น…(คำสบถ) ซึ่งได้รับข้อมูลมาผิดๆ ทั้งนั้นเหมือนกัน?
หลังจากนั้น Steve ก็เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของเขา แต่มีข้อแม้ว่า Joe จะไม่เผยแพร่ข้อมูลใดๆ ต่อสาธารณะ สิ่งเดียวที่พอจะบอกได้คือ อาการของ Steve ในขณะนี้ไม่ใช่ ?โรคธรรมดาทั่วไป? ส่วนน้ำหนักที่ลดลงนั้นก็เป็นผลมาจากการผ่าตัดเนื้อร้ายออกไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม Joe ได้ตั้งข้อสังเกตในช่วงท้ายของคอลัมน์ใน New York Times ว่าข้อมูลที่ได้มานั้นถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ผู้ถือหุ้นของ Apple ควรจะรับทราบเป็นอย่างมาก แต่แทนที่ Steve จะเปิดเผยต่อคนที่เป็นเจ้าของเงินใน Apple ทราบก่อนเป็นอันดับแรก เขากลับเลือกที่จะปิดเป็นความลับต่อไป
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com
Tags: steve jobtags: steve job
No Comments
ประดิษฐ์ปืนบังคับกระสุนได้ จะให้ตายหรือแค่บาด เจ็บ!
Posted by admin on
July 28, 2008
บริษัทประดิษฐ์ปืนของเด็กเล่นของอเมริกา สามารถประดิษฐ์ปืนซึ่งบังคับความเร็ว ของลูกกระสุนได้ โดยจะใช้ยิงคน เอาให้ถึงตายหรือเอาแค่เพียงบาดเจ็บก็ได้
บริษัทลันด์และคอมปานี อินเวนชั่น อันเป็นบริษัทออกแบบเครื่องเล่นเด็ก ซึ่งเคยผลิตจรวดของเล่น ขับดันด้วยการเผาก๊าซไฮโดรเจน ได้รับใบสั่งจากกองทัพสหรัฐฯ ให้นำเทคโนโลยีมาใช้ผลิตอาวุธปืนทหาร สามารถจะยิงกระสุนปืนเพื่อฆ่าให้ตาย หรือแค่เพียงได้รับบาดเจ็บก็ได้
อาวุธปืนแบบใหม่ ใช้ระบบที่เรียกว่า อาวุธปืนระบบปรับความเร็วได้ จะให้ทหารนำไปใช้ได้ทั้งในการควบคุมฝูงชนหรือในการรบจริง เพราะอาจจะบรรจุกระสุนยาง เพื่อให้ยิงโดนแต่ไม่ทะลุ หรือจะให้ยิงด้วยกระสุนด้วยความแรงเต็มที่ ให้โดนเสียชีวิตลงก็ได้
ปืนทำงานด้วยการผสมเชื้อเพลิงเหลวหรือก๊าซกับอากาศในรังเพลิงท้ายกระสุน ซึ่งจะกำหนดความแรงของการระเบิด ใช้ขับดันลูกปืนให้พุ่งพ้นปลายกระบอกปืนออกไป.
ที่มา : http://www.thairath.co.th
Tags: gun