นอร์ตัน แนะเทคนิคช็อปปิ้งออนไลน์อย่างปลอดภัย
Posted by admin on
July 31, 2013
นอร์ตันแนะเทคนิคการช็อปปิ้งออนไลน์ให้ปลอดภัย ปิดโอกาสให้อาชญากรไซเบอร์เข้ามาโจมตี เพื่อจารกรรมข้อมูลผ่านการทำธุรกรรมออนไลน์ที่ไม่มีการป้องกัน หลังจากที่นักช็อปออนไลน์หน้าใหม่ที่ไม่มีความระแวดระวังภัยตกเป็นเป้าโจมตี…
จากรายงานผลสำรวจภัยคุกคามปี 2555 โดยนอร์ตัน ไซแมนเทค พบว่า หนึ่งในสามของผู้บริโภคไม่ได้คาดคิดเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นได้ผ่านช่องทางออนไลน์เพราะพวกเขาไม่คิดว่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นกับตัวเอง และยิ่งกว่านั้น มีถึง 48 เปอร์เซ็นต์ที่ยอมรับว่า ไม่ได้ใช้เครื่องมือป้องกันหรือซอฟต์แวร์ที่รัดกุมใดๆ ที่สามารถช่วยปกป้อง พวกเขาจากภัยคุกคามในโลกไซเบอร์ที่เกิดขึ้นทุกวัน หากไม่ต้องการตกเป็นเหยื่อในขณะที่คุณช็อปปิ้งออนไลน์ นอร์ตันขอแนะนำวิธีปฏิบัติ ดังนี้
ค้นหาสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความปลอดภัย ? คุณสามารถซื้อของออนไลน์ได้ตามที่ต้องการ แต่ควรเลือกช็อปกับเว็บไซต์ร้านค้าที่มีชื่อเสียง คุณควรช็อปปิ้งออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงและทำธุรกรรมใดๆ บนหน้าเว็บไซต์ที่แสดงถึงการรักษาความปลอดภัยเท่านั้น เครื่องหมายที่แสดงความน่าเชื่อถือ เช่น นอร์ตันประทับตราความปลอดภัย (Norton Secured Seal), ระบุชัดเจนว่าเว็บไซต์ร้านค้าเหล่านั้นได้รับการยืนยันว่าเป็นเว็บไซต์ที่ปลอดภัยจากมัลแวร์ นอกจากนี้ ควรมองหาตัวอักษร HTTPS และแถบสีเขียวที่อยู่ในเบราว์เซอร์ ก่อนที่จะป้อนข้อมูลส่วนบุคคลของคุณเข้าไป
“รหัสผ่าน” ต้องไม่ใช่รหัสผ่านแบบง่ายๆ ? ให้ความสนใจกับรหัสผ่าน ไม่ว่าสำหรับอีเมล์, เครือข่ายสังคมของคุณ รวมถึงบัญชีธนาคารออนไลน์ สร้างรหัสผ่านให้ซับซ้อนและไม่ซ้ำกันอย่างมีเอกลักษณ์ โดยที่คุณสามารถตั้งค่าตัวอักษรให้มีทั้ง ตัวพิมพ์ใหญ่, ตัวพิมพ์เล็ก, ตัวเลขและสัญลักษณ์ต่างๆ ประกอบกัน นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการจัดเก็บข้อมูลบัตรเครดิตของคุณบนเว็บไซต์ของร้านค้า
ระมัดระวังการใช้ไว-ไฟ (Wi-Fi) สาธารณะ ? การถูกหลอกล่อให้ซื้อสินค้าออนไลน์ต่างๆ อาจเกิดขึ้นในขณะที่ใช้ไว-ไฟ (Wi-Fi) สาธารณะ โดยฮอตสปอต (Hotspots) เหล่านั้นเป็นเสมือนสนามเด็กเล่นของอาชญากรไซเบอร์ คุณควรใช้วีพีเอ็น (VPN) ซึ่งเป็นเครือข่ายส่วนบุคคลในการเชื่อมต่อออนไลน์ หรือรอจนกว่าคุณจะอยู่บนเครือข่ายไว-ไฟ (Wi-Fi) ที่ได้รับการป้องกันก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ หรือ ล็อกอินเข้าเว็บไซต์ธนาคารที่คุณมีบัญชีอยู่เพื่อทำการช็อปออนไลน์
หลีกเลี่ยงสแปม (Spam) ที่สร้างความประหลาดใจ ?? ไม่ใช่สแปม (Spam) ทุกตัวไม่เป็นอันตราย แต่สแปม (Spam) บางตัวพกไวรัสและภัยคุกคามที่เป็นอันตรายอื่นๆ มาสู่คอมพิวเตอร์ของคุณ อาทิ การพาดหัวเกี่ยวกับโปรโมชั่นวันหยุด เช่น ลดยกร้านไปเลย 80% (All-to-go Sale: 80% off!) หรือบางทีก็เป็นคำอธิบายใต้ภาพตามเทศกาล เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับแพ็กเกจการจัดส่งของคุณ คุณอาจถูกยั่วยวนให้คลิกเข้าไป แต่ที่จริงคุณควรจะไหวตัวทันในการจัดการเมล์ขยะเหล่านั้นแทน ควรระมัดระวังเสมอในการเปิดอีเมล์จากผู้ส่งที่ไม่รู้จักหรืออีเมล์ลดแลกแจกแถมที่ดูจะใจดีเกินไป
พกพาความปลอดภัยไปกับคุณตลอดเวลา ? คุณอาจไม่ทราบว่ามีหนทางในการรักษาความปลอดภัยให้กับอุปกรณ์เคลื่อนที่ อย่าปล่อยให้โทรศัพท์มือถือของคุณตกเป็นเป้าหมายรายต่อไปของอาชญากรไซเบอร์ ป้องกันด้วย นอร์ตัน 360 มัลติ-ดีไวซ์ ที่ปกป้องเครื่องของคุณได้สูงสุดถึงห้าอุปกรณ์ ช่วยให้ทุกการช็อปปิ้งออนไลน์ของคุณอยู่ภายใต้การปกป้องที่ดีที่สุด และไม่ต้องข้องเกี่ยวกับอาชญากรรมไซเบอร์อีกต่อไป.
Tags: นอร์ตัน, แนะเทคนิคช็อปปิ้งออนไลน์อย่างปลอดภัยบราเดอร์รุกหนักบุกตลาดเลเซอร์พรินเตอร์ระดับกลาง-ล่าง
Posted by admin on
July 31, 2013
บราเดอร์ เผยโฉมเลเซอร์พรินเตอร์ 8 รุ่นใหม่ราคาเร้าใจเริ่มต้นที่ 1,590 บ. เป็นครั้งแรกของตลาด หวังเพิ่มส่วนแบ่งตลาดกลางและล่าง พร้อมดันแคมเปญ ?ใจบุญสุนทรีย์? เสนอถวายพรินเตอร์เพื่อส่งเสริมการศึกษาพระพุทธศาสนาแด่พระสงฆ์…
นายทาคาโอะ (แอนดี้) ชิมะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกของบราเดอร์ (เมษายน – มิถุนายน 2556) เติบโตเพิ่มขึ้นกว่าช่วงเดียวกัน ของปีที่ผ่านมาถึง 17% โดยกลุ่มตลาดที่น่าจะเติบโตในปีนี้ คือ กลุ่มเลเซอร์พรินเตอร์ระดับกลางและล่าง ซึ่งปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% ของมูลค่ารวมตลาดพรินเตอร์ ทั้งหมดในไทย
ด้าน นายธีรวุธ ศุภพันธุ์ภิญโญ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชี่ยล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บราเดอร์วางแผนเพิ่มส่วนแบ่ง ของตลาดในกลุ่มดังกล่าวโดยส่งพรินเตอร์ 8 รุ่นล่าสุดเสนอเป็นทางเลือกใหม่ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,590 บาท ที่ถือเป็นโมโนเลเซอร์ราคาถูกที่สุดในตลาดเมืองไทย โดยมั่นใจว่ากลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มากด้วย คุณภาพในราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อดังกล่าว จะสามารถสร้างอัตราการเติบโตในกลุ่มตลาดระดับกลางและล่างของบราเดอร์ได้ไม่ ต่ำกว่า 30% โดยพรินเตอร์ในกลุ่มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เหมาะสมกับตลาดโซนเอเชียตะวันออก เฉียงใต้โดยเฉพาะ เนื่องจากมีการสำรวจกลุ่มผู้บริโภคในประเทศแถบนี้ว่ามีความต้องการในเรื่องของฟีเจอร์การใช้งาน ตลอดจนรูปแบบ ดีไซน์รวมทั้งระดับราคา แล้วนำผลสำรวจที่ได้ไปใช้เป็นแนวทางในการออกแบบสินค้ามาเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ซึ่งสินค้าดังกล่าวจะวางจำหน่ายเฉพาะประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น
ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท บราเดอร์ กล่าวต่อว่า ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ บราเดอร์ ก้าวเข้าชิงแชร์ในกลุ่มสินค้าที่ราคาต่ำกว่า 2,000 บาท ทั้งยังเป็นโมโนเลเซอร์ที่ถูกที่สุดในตลาดตอนนี้ นอกจากนั้น บราเดอร์ ยังนำเสนอคัลเลอร์เลเซอร์พรินเตอร์และคัลเลอร์เลเซอร์มัลติฟังก์ชั่น ที่มีราคาประหยัดกว่า แต่ยังคงคุณภาพการใช้งานที่ดีตามมาตรฐานของบราเดอร์ ไว้อย่างลงตัว ซึ่งเราจะเจาะเข้าไปยังกลุ่ม Home used, SOHO และ SME ปัจจุบัน บราเดอร์ มีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่ม โมโนเลเซอร์ มัลติฟังก์ชั่น พรินเตอร์ อยู่ที่ 26% ขณะที่โมโนเลเซอร์ พรินเตอร์ มีส่วนแบ่งอยู่ที่ 11 % ซึ่งมั่นใจว่าหลังจากเปิดตัวพรินเตอร์ 8 รุ่นใหม่แล้ว บราเดอร์ น่าจะขยับขึ้นสู่เบอร์ 1 ในกลุ่ม โมโนเลเซอร์ มัลติฟังก์ชั่น พรินเตอร์ และในส่วน โมโนเลเซอร์ พรินเตอร์ ก็น่าจะมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว
นายธีรวุธ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ พรินเตอร์ 8 รุ่นใหม่ของ บราเดอร์ ประกอบด้วย โมโนเลเซอร์พรินเตอร์และโมโนเลเซอร์มัลติฟังก์ชั่น ได้แก่ HL-1110 , DCP-1510 ราคา, MFC-1810 ราคา , MFC-1815 ราคา คัลเลอร์เลเซอร์พรินเตอร์ และคัลเลอร์เลเซอร์มัลติฟังก์ชั่น 4 รุ่นใหม่ ได้แก่ ?HL-3170CDW, HL-3150CDN, MFC-9140CDN, MFC-9330CDW ทั้งนี้ เพื่อเป็นการขยายการรับรู้ในแบรนด์และสนับสนุนให้คนไทยมีส่วนร่วมในการส่ง เสริมการศึกษาพุทธศาสนา บราเดอร์ จึงได้สร้างสรรค์โครงการสังฆทานพรินเตอร์ ภายใต้ชื่อ ?บราเดอร์ ใจบุญ สุนทรีย์? ขึ้น โดยได้เชิญ 2 ดาราดัง ซุปตาร์พิมพ์นิยม ?ต่าย นัฐฐพนธ์ ลียะวณิช และ โก๊ะตี๋ ร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์ของโครงการในครั้งนี้
ผจก.ทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท บราเดอร์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันการใช้งานด้านไอทีได้แพร่หลายไปในสังคมทุกกลุ่ม ไม่เว้นแม้แต่ในพุทธศาสนา โดยบราเดอร์ มองว่า ขณะนี้ ยังมีวัดอีกจำนวนมากที่ยังขาดแคลนอุปกรณ์ในส่วนนี้ จึงได้จัดแคมเปญนี้ขึ้นมาโดยท่านจะได้ร่วมทำบุญทันทีเมื่อซื้อเครื่องพรินเตอร์? HL-1110, DCP-1510, MFC-1810, MFC-1815, HL-3170CDW, HL-3150CDN,MFC-9140CDN และ MFC-9330CDW รุ่นใดก็ได้คุณก็มีส่วนร่วมกับบราเดอร์ในการถวายพรินเตอร์ให้แก่วัดและสถานศึกษาด้านพุทธศาสนาที่ขาดแคลนขั้นต่ำ 100 เครื่อง 100 วัดทั่วประเทศ นอกจากนี้ท่านยังมีสิทธิ์ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับกิจกรรม ล่องเรือถวายสังฆทานพรินเตอร์ กับ 2 ซุปตาร์ โก๊ะตี๋ และต่าย นัฐฐพนธ์ ลียะวณิช อีกด้วย โดยผู้สนใจสามารถร่วมโครงการดังกล่าวได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 กันยายน ศกนี้ หรือติดตามรายละเอียดกิจกรรมนี้ได้ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ? Brother (Thailand).
?
Tags: บราเดอร์รุกหนักบุกตลาดเลเซอร์พรินเตอร์ระดับกลาง-ล่างแคนนอน ส่งกล้องดิจิตอลใหม่ EOS 700D เจ๋งทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ
Posted by admin on
July 30, 2013
แคนนอน ปล่อยกล้องดิจิตอล DSLR รุ่นท็อป ในระดับ New Entry ตัวล่าสุด EOS 700D ความละเอียด 18 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์คิทแบบ STM ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานถ่ายภาพได้เหนือชั้นทั้งภาพนิ่ง อีกทั้งสมบูรณ์แบบในการบันทึกภาพเคลื่อนไหว คมชัดระดับ Full HD ดุจมืออาชีพ…
แคนนอน เปิดตัวกล้อง EOS 700D กล้อง DSLR รุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล EOS สำหรับช่างภาพมือสมัครเล่นที่ต้องการกล้อง DSLR ที่ตอบโจทย์ทั้งการถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ที่ใช้งานง่าย แต่ได้คุณภาพดุจมืออาชีพมากมาย อาทิ Movie Servo AF ระบบออโต้โฟกัสติดตามใบหน้า หรือวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่สำหรับการบันทึกภาพเคลื่อนไหว เซ็นเซอร์แบบ CMOS ความละเอียดสูงถึง 18 ล้านพิกเซล โฟกัสรวดเร็วแม่นยำด้วยจุดโฟกัส 9 จุดแบบ Cross-type ทุกจุด หน้าจอทัชสกรีนระบบ Capacitive ปรับหมุนได้, ฟิลเตอร์สร้างสรรค์ Creative Filters เพิ่มลูกเล่นให้ภาพถ่าย ฯลฯ ทั้งนี้ เปิดตัวมาพร้อมเลนส์ระบบ STM ใหม่ คือ? EF-S18-55mm f/3.5-5.6 IS STM และเลนส์คิทอเนกประสงค์แบบ EF-S18-135 mm. f/3.5-5.6 IS USM เพื่อความลงตัว สมบูรณ์แบบทั้งการถ่ายภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว
แคนนอน ได้พัฒนาให้ EOS 700D สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวคุณภาพเยี่ยม ความละเอียดระดับ Full HD พร้อมไมโครโฟนระบบเสียงสเตอริโอติดตั้งในตัว รวมถึงการนำเอาเทคโนโลยี Hybrid CMOS AF มาช่วยเสริมประสิทธิภาพของฟังก์ชั่น Movie Servo AF เพื่อให้กล้องสามารถโฟกัสติดตามใบหน้าบุคคลที่เลือก หรือวัตถุที่เคลื่อนที่ ขณะบันทึกภาพเคลื่อนไหว ได้รวดเร็วแม่นยำต่อเนื่องไม่มีสะดุดทุกระยะใกล้ไกล? อีกทั้งมีโหมด Video Snapshot ที่ช่วยให้ผู้ใช้สร้างสรรค์วิดีโอคลิปในสไตล์ของตัวเองได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านการถ่ายวิดีโอ โดยกล้องจะถ่ายวิดีโอช็อตสั้นๆ (เลือกปรับความยาวได้ 2, 4 หรือ 8 วินาที) เก็บไว้ในอัลบั้ม ซึ่งผู้ใช้สามารถนำมาตัดต่อ จัดเรียง หรือลบไฟล์ที่ไม่ต้องการ และนำมารวมเป็นไฟล์เดียวได้จากในกล้อง โดยไม่ต้องย้ายไฟล์ลงคอมพิวเตอร์หรือลงโปรแกรมเพิ่มเติมให้ยุ่งยาก และยังสามารถเลือกเพลงประกอบ (Background Music) เพื่อเสริมบรรยากาศขณะชมภาพเคลื่อนไหวได้อีกด้วย
ด้วยพลังของชิพประมวลผลภาพอัจฉริยะ DIGIC 5 และเซ็นเซอร์ CMOS ขนาด APS-C ให้ภาพความละเอียดสูง 18 ล้านพิกเซล สัญญาณรบกวนต่ำ จึงเก็บทุกรายละเอียดได้ไม่มีพลาด ช่วยให้การไล่โทนสีและเฉดสีเปล่งประสิทธิภาพสูงสุด ได้ภาพสวยสีสันสมจริง เหนือชั้นกว่าด้วยระบบออโต้โฟกัสที่ช่วยให้กล้อง EOS 700D ทำงานฉับไว ช่องมองภาพมีระบบออโต้โฟกัส 9 จุด แบบ All-Cross type และเมื่อเปิดใช้งานในโหมด Live View ผู้ใช้จะต้องทึ่งไปกับประสิทธิภาพในการจับโฟกัสและติดตามวัตถุได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำของเทคโนโลยี Hybrid CMOS AF และด้วยช่วงความไวแสงที่กว้างถึง ISO 100-12800 และปรับขยายได้สูงสุดถึง 25600 ให้ภาพคมชัด แม้ในการถ่ายภาพวัตถุที่เคลื่อนไหวเร็วในที่แสงน้อย และด้วยประสิทธิภาพของสองขุมพลัง ชิพประมวลผล DIGIC 5 และเซ็นเซอร์ CMOS กล้อง EOS 700D ถ่ายภาพต่อเนื่องความเร็วสูงได้ถึง 5 ภาพต่อวินาที และระยะเวลา Blackout ต่ำมาก จึงเหมาะอย่างยิ่ง
สำหรับการถ่ายภาพกีฬาหรือภาพแอ็กชั่น ให้คุณไม่พลาดทุกวินาทีสำคัญ วัดแสงเที่ยงตรง แม่นยำด้วยระบบวัดแสงแบบ iFCL Metering แบ่งพื้นที่วัดแสง 63 โซนแบบ Dual-layer แม้ในสถานการณ์ที่มีแสงน้อยซึ่งยากต่อการถ่ายภาพ EOS 700D ยังถ่ายภาพให้สวยงาม คมชัดได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องอาศัยขาตั้งกล้อง ด้วยฟังก์ชั่น Multi Shot Noise Reduction โดยกล้องจะบันทึกภาพด้วยความรวดเร็ว 4 ภาพต่อเนื่อง จากนั้นก็จะคำนวณข้อมูลจากภาพเหล่านี้ แล้วทำการปรับความละเอียด และความคมชัดของภาพให้รวมออกมาเป็นภาพสมบูรณ์แบบที่สุดเพียงภาพเดียว
สำหรับนักถ่ายภาพมือใหม่ EOS 700D ยังได้เพิ่มโหมดถ่ายภาพอัตโนมัติแบบใหม่ (Special Scene mode) ได้แก่ โหมด Night Portrait สำหรับการถ่ายภาพแสงไฟสวยยามค่ำคืน แต่ยังให้แสงพอเหมาะกับบุคคลในภาพด้วยการใช้แฟลชร่วมกับความเร็วชัตเตอร์ต่ำ โหมด Handheld Night Scene สำหรับการเก็บภาพในสถานที่แสงน้อยโดยไม่ต้องอาศัยขาตั้งกล้อง และโหมด HDR Backlight Control พร้อมกับโหมดถ่ายภาพออโต้อัจฉริยะ Scene Intelligent Auto ช่วยให้กล้องวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพแสง การเคลื่อนที่ของวัตถุ และการตรวจจับอัตโนมัติว่ากล้องอยู่บนขาตั้งกล้องหรือไม่ เพื่อให้สามารถปรับตั้งค่าต่างๆ ให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมในการถ่ายภาพที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถตั้งค่าได้มากถึง 29 รูปแบบ อาทิ ค่าสมดุลแสงขาว ค่าแสง จุดโฟกัส ให้เหมาะสมกับปัจจัยดังกล่าวโดยอัตโนมัติเพื่อให้ภาพถ่ายออกมาดูดีที่สุด ช่วยให้ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลในการปรับตั้งค่าตัวกล้อง และสามารถทุ่มความสนใจไปที่องค์ประกอบอื่น เช่น การจัดวางวัตถุและองค์ประกอบภาพ ได้มากขึ้น
ในส่วนของเลนส์? EF-S18-55mm f3.5-5.6 IS STM ที่เป็นเลนส์คิทแนะนำของกล้อง EOS 700D เป็นเลนส์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มศักยภาพของการบันทึกภาพเคลื่อนไหว โดยเฉพาะ จุดเด่นของเลนส์ คือ ภายในประกอบด้วยระบบโฟกัส 6 ชุดรุ่นใหม่ล่าสุด และมอเตอร์แบบ Stepping Motor ช่วยให้การโฟกัสติดตามวัตถุขณะบันทึกภาพเคลื่อนไหวนั้นมีความต่อเนื่อง ราบรื่นปราศจากเสียงรบกวน นอกจากนี้ระบบป้องกันภาพสั่นไหว (Image Stabilizer) ที่ติดตั้งในตัวเลนส์ ยังช่วยให้ผู้ใช้ถ่ายภาพได้คมชัดมากยิ่งขึ้นกว่าเคย หมดปัญหาภาพเบลอ The built-in image stabilizer allows it to take photos as sharp as other lenses do with their shutter speeds set to 4 settings faster. ขณะที่ช่องรูรับแสงแบบ 7 Blade Circular ช่วยเนรมิตฉากหลังภาพให้ดูเบลอสวยงาม
นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเลือกแต่งโฟกัสแบบแมนนวลได้ตามต้องการ แม้จะอยู่ในโหมด AF และด้วยทางยาวโฟกัสที่ครอบคลุมระยะการซูม 18-55 มม. และตัวเลนส์ที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักถ่ายภาพที่ต้องการเลนส์ตัวเดียวใช้งานได้หลาก หลายครอบคลุมต่อความต้องการในการถ่ายภาพในสถานการณ์ทั่วไป และยังมีเทคโนโลยี STM ที่มาช่วยเสริมความสามารถให้กับฟังก์ชั่น Movie Servo ในตัวกล้อง EOS 700D ให้สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด สามารถโฟกัสอัตโนมัติติดตามวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ขณะบันทึกภาพเคลื่อนไหว ได้อย่างราบรื่น และปราศจากเสียงรบกวน แม้การบันทึกภาพในสภาวะแวดล้อมที่ต้องการความเงียบ อย่างเช่น การบันทึกภาพเด็กทารกขณะหลับ ก็จะไม่ถูกรบกวนด้วยเสียงการทำงานของมอเตอร์ค้นหาโฟกัสอัตโนมัติแต่อย่างใด.
?
Tags: 700D, EOS, ส่งกล้องดิจิตอลใหม่, เจ๋งทั้งภาพนิ่งและวิดีโอ, แคนนอนจับตาโรงงานแอปเปิลโกงค่าแรง หวั่นผิดกฎหมายแรงงานจีน
Posted by admin on
July 30, 2013
โรงงานประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบรนด์ “แอปเปิล” ในประเทศจีน เข้าข่ายค้าแรงงานผิดกฎหมาย โดยบริษัทแอปเปิลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง…
บริษัท Pegatron Corp? บริษัทประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ที่ผลิตสินค้าไอทีให้กับแบรนด์ดังอย่าง แอปเปิล อาทิ iPad และ iPhone ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะไต้หวัน โดยบริษัทดังกล่าว กำลังถูกเพ่งเล็งจากกลุ่มสิทธิแรงงานของจีน ว่า แรงงานของ Pegatron Corp ฝ่าฝืนกฎหมายแรงงานของจีน และไม่ปฎิบัติตามกฎระเบียบดูแลพนักงานของบริษัทแอปเปิล อิงค์ ในเรื่องการไม่จ่ายค่าจ้างล่วงเวลางาน
โดยตัวแทนบริษัทแอปเปิล ได้ยืนยันหลักฐานความผิดของ?Pegatron Corp ด้วยแบบสอบถามของพนักงาน จำนวนกว่า 200 คนที่กล่าวตรงกันว่า บริษัท?Pegatron Corp ปฏิเสธที่จะจ่ายเงินค่าล่วงเวลางาน ซึ่งถ้าการสอบสวนออกมาว่าบริษัทดังกล่าวทำผิดจริง จำเป็นต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับพนักงานทั้งหมดในภายหลัง
ด้านนายเจสัน เชง ผู้บริหารบริษัท?Pegatron Corp ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว โดยอ้างว่า บริษัทแห่งนี้เป็นเสมือนศูนย์กลางของธุรกิจไอทีในโลก จึงไม่มีทางที่จะกระทำไร้น้ำใจกับพนักงานในความดูแลอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ เชื่อแน่ว่า เรื่องนี้จะได้รับการสอบสวนอย่างจริงจังและอย่างยุติธรรมที่สุด เพราะทางการจีนและแอปเปิล อิงค์ คงไม่อยากให้เหตุการณ์น่าเศร้า ที่เคยเกิดกับบริษัทฟ็อกซ์คอนน์ ท่ี่มีพนักงานสังเวยชีวิต เพราะเครียดจัดกับความอยุติธรรมของนายจ้างอีกแล้ว.
?
Tags: จับตาโรงงานแอปเปิลโกงค่าแรง, หวั่นผิดกฎหมายแรงงานจีนชี้ร่างประกาศ 1800 ขัดกฎหมายฟันธงออกไม่ได้
Posted by admin on
July 30, 2013
จวกเละ! เปิดเวที ประชุมเฉพาะประเด็นปัญหาทางกฎหมายกรณีสิ้นสุดคลื่น 1800 นักกฎหมายรุมจวก กทค. ชี้ร่างประกาศฯ ?คุ้มครองผู้บริโภคขัดกฎหมาย…
เมื่อวันที่ 29 ก.ค. โครงการประกาศนียบัตรบัณฑิตทางกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ส่วนงาน นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช. ด้านคุ้มครองผู้บริโภค จัดการประชุมเฉพาะประเด็นเรื่อง ปัญหาทางกฎหมายกรณีสิ้นสุดสัญญาสัมปทานคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) และแนวทางแก้ไข ก่อนจะหมดอายุลงในวันที่ 15 ก.ย. 2556 ระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) หรือ CAT กับ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด (ดีพีซี) หลัง กสทช. เสนอร่างประกาศเรื่อง มาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการในกรณีสิ้นสุดการอนุญาต สัมปทานฯ
ฝ่ายหนึ่ง คือ กสทช. กำหนดให้ มีหน้าที่รวบรวมขึ้นมา ส่วนอีกฝ่ายที่โต้แย้งอยู่คือ กสท และ ทีโอที ในกรณีนี้ จากการศึกษา ข้อกฎหมายต่างๆ นักวิชาการ และผู้ที่เสนอความเห็นเห็นว่า ผู้ที่มีหน้าที่ในการถือครองคลื่น คือ กสทช.
นางสาวจันทจิรา เอี่ยมมยุรา หัวหน้าโครงการประกาศนียบัตรบัณฑิตทางกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า กสทช.ไม่มีอำนาจในการออกกฎหมายเพื่อมารองรับร่างประกาศฯ เพราะฐานอำนาจในการออกกฎหมายมีปัญหา กสทช. ไม่มีฐานอำนาจในการดำเนินการนี้ คณะกรรมการ กสทช. มีหน้าที่เพียงกำหนด แต่ไม่ใช่กำหนดหลักเกณฑ์ ให้ผู้ให้บริการให้บริการต่อ หลังหมดสัญญาสัมปทาน โดยรวมเห็นว่ามาตรการที่ปรากฏไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาตรการนี้กำหนดด้วยการมีมาตรการบางอย่างริดรอนสิทธิ์ให้กับบุคคลภายนอกซึ่งในนี้ คือ กสท แต่ร่างนี้ บังคับให้ กสท ให้โครงข่าย และอุปกรณ์ และให้ลูกค้า หรือผู้ใช้สัมปทานใช้โครงข่ายเดิมต่อไป ดังนั้น หลังจากหมดสัญญานี้ กสท
?แต่ร่างประกาศเป็นการบังคับให้คู่สัญญาสัมปทานต้องทำหน้าที่เดิมต่อไป บังคับให้ กสท จับมือผู้ประกอบการต่อไป แม้ว่าจะเป็นเวลา 1 ปี แต่ไม่ได้บอกว่า 1 ปีหลังจากนี้ จะทำอย่างไรต่อ และถ้าพิจารณาดีๆ จะเห็นว่าริดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้บริโภคด้วย? หัวหน้าโครงการประกาศนียบัตรบัณฑิตทางกฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ ?มธ.
นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ร่างประกาศฉบับดังกล่าว กทค. อ้างว่า ถ้าไม่ออกร่างฯนี้ ขึ้นมาจะทำให้ซิมดับ ประชาชนเดือดร้อน ทั้งนี้ กทค. ต้องคำนึงด้วยว่า ร่างฯที่ออกมาต้องอยู่ภายใต้หลักกฎหมาย และต้องชอบด้วยกฎหมายซึ่งร่างฯ ดังกล่าวที่ออกมาไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าจะอ้างว่าคุ้มครองผู้บริโภค
?วันนี้ กสทช. ออกร่างฯ อะไรขึ้นมา กฎหมายไม่ได้อนุญาตให้ กสทช. ออกมาตราการใดใดก็ได้ โดยอ้างว่าคุ้มครองผู้บริโภคแต่ต้องชอบด้วยกฎหมาย ก่อนหน้านี้ คุณได้ทำอะไรแล้วหรือยัง หรือมีมาตรการอะไรบ้าง แต่มาตรการนี้ ก็ออกไม่ได้ เพราะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นจึงเลือกไม่ได้ จึงต้องเลือกทางเลือกอื่นๆ? อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าว
นายปิยบุตร กล่าวต่อว่า หากสมมติว่า กสทช. ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้เกิดกรณีซิมดับกับผู้บริโภค แล้วก่อให้เกิดความเสียหาย กสทช. อาจถูกฟ้องคดีได้ ว่ามีหน้าที่กำกับดูแล แต่ไม่ปฏิบัติ หรือละเลยหน้าที่ แต่ถ้า กสทช. เลือกทำร่างประกาศฉบับนี้ ก็อาจถูกบุคคลที่เดือดร้อนเสียหาย ฟ้องคดีได้เหมือนกัน ซึ่งคนที่เดือดร้อนเสียหายจากร่างประกาศ คือ บรรดาผู้ให้บริการที่เป็นคู่แข่งที่มีส่วนได้เสีย หลังประกาศฉบับนี้ใช้แล้วเกิดความเสียหาย และผู้ฟ้องคดีเป็นกลุ่ม อาทิ สมาคมต่างๆ และมูลนิธิที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ซึ่งต้องพิจารณาว่าที่จดทะเบียนมีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องกันอย่างไร
นอกจากนี้ ก่อนหมดอายุสัญญาสัมปทาน กสทช. ควรมีบทบาท เช่น แจ้งล่วงหน้า หรือบอกให้เตรียมโอนย้าย แต่ถ้าแจ้งแล้วไม่ทำ รู้แล้วแต่ไม่ทำ กสทช. ก็อาจจะรอดตัวได้หลังเกิดเหตุซิมดับ อย่างไรก็ตาม ในทางกฎหมายทุกคนรู้ว่าเมื่อซิมดับ จะหมดอายุสัมมปทาน โดยที่ทุกฝ่ายจะอ้างว่าไม่รู้ล่วงหน้าไม่ได้ พร้อมแนะนำให้ กสทช. เอาเวลาไปประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบล่วงหน้าดีกว่า เพราะปัญหา คือ กสทช. ไม่เคยแสดงให้เห็นต่อสาธารณะเลยว่า ย้ายได้หรือไม่ได้อย่างไร
นายปิยะบุตร บุญอร่ามเรือง อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่า ประกาศฉบับดังกล่าว ออกมาเพื่อคุ้มครอง กสทช. เพราะหากปล่อยให้ซิมดับ คนที่เดือดร้อนไม่ใช่ ผู้ให้บริการ และผู้ใช้บริการ นอกจากนี้ ยังไม่เห็นว่าร่างประกาศฯ มีจุดไหนจะมีส่วนที่คุ้มครองผู้บริโภค นอกจาก คำว่า ชื่อ ที่ระบุว่า คุ้มครองผู้บริโภค
นายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าวว่า กสทช. รู้อย่างช้าสุดในเดือน ก.ย. 2555 ซึ่งอยู่ในการประชุมเรื่องการปรึกษาปัญหาว่าจะหาแนวทางอย่างไร ทั้งนี้ ในแง่กฎหมายบอกวิธีคืนคลื่นให้กสทช. ไปแล้วและกำหนดกฎหมายเรียบร้อยแล้ว โดยระบุว่าขยายไม่ได้ นอกจากใช้วิธีการประมูล ต่อมามีการตั้งคณะอนุกรรมการเตรียมพร้อมการประมูลคลื่น ซึ่งคณะอนุฯ ระบุว่าอาจมีเหตบางอย่างทำให้ทำไม่ได้ตามกำหนด ซึ่งเรื่องนี้มีการปรึกษากันภายในโดย กสทช. ท่านหนึ่ง ขอเชิญผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่งมาหารือกัน ว่าหากประมูลไม่ทันจะทำอย่างไรดี ซึ่งคณะกรรมการมีการประชุมกันเมื่อ เม.ย.2556 ที่ผ่านมา และลงความว่า เจตนารมย์ของคลื่นความถี่เปลี่ยนจากของรัฐมาเป็นสาธารณสมบัติ โดยกำหนดให้ กสทช. เป็นผู้ดำเนินการแต่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ดังนั้น เมื่อหมดสัญญาสัมปทานจะต้องคืนคลื่นโดยไม่มีการบ่ายเบี่ยงเป็นอย่างอื่นได้
?ผลจะทำให้ กสทช. ไม่มีอำนาจเป็นอย่างอื่นนอกจากคืนคลื่น และถ้าถามนักกฎหมายทุกคนก็จะได้คำตอบตรงกันทั้งหมด กสทช. ผิด อย่าไปดึงดัน ลากยาวให้มันผิดเข้าไปอีก เดี๋ยวจะติดบ่วงเข้าไปอีก? ?อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มธ. กล่าว
นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ อนุกรรมการ กสทช.ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายการถือครองคลื่น 1800 เมกะเฮิรตซ์ กล่าวว่า มองว่าในร่างประกาศดังกล่าวนั้น มีข้อดีบางประการ อาทิ ร่างประกาศฉบับนี้มีเนื้อหาที่ไปค้านอย่างชัดเจนเมื่สัญญาสัมปทานจบลงคือจะไม่ให้รัฐวิสาหกิจถือครองต่อ ทั้งนี้เพราะได้มองไปถึงอนาคตว่าจะนำไปใช้กับเอกชนรายอื่นๆ ด้วย เพื่อให้มีการเตรียมตัวล่วงหน้าในการเยียวยาและเตรียมประมูล ส่วนการเร่งประมูลให้เร็วขึ้นนั้น คงทำได้ยากแล้ว เพราะระยะเวลานั้นกฎหมายให้ความยืดหยุ่นแก่ กสทช.ในการพิจารณาตามกรอบความจริงและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น ขณะที่ปัญหาซึ่งถกเถียงกันอยู่ในการขยายระยะเวลา 1 ปีนั้น ว่าร่างดังกล่าวไม่มีกฎหมายมารองรับนั้น หากดูตามกฎหมายของ กสทช.มาตรา 27 ได้ระบุไว้ชัดเจนในเรื่องการกำกับดูแลการประกอบกิจการทั้งสิ้น.
?
?
?
Tags: 1800, ขัดกฎหมายฟันธงออกไม่ได้, ชี้ร่างประกาศซิสโก้เผยผู้บริหารไอทียังต้องปรับปรุง แม้ระบบจะสอดคล้องกับธุรกิจ
Posted by admin on
July 30, 2013
ซิสโก้ เผย ?ผลสำรวจข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบของไอทีต่อธุรกิจ? แท้จริงๆ แล้วฝ่ายไอทีเป็นผู้คิดค้นนวัตกรรม เป็นนักดับเพลิง หรือเป็นผีกันแน่? ขณะเดียวกันยังประเมินประสิทธิภาพของผู้บริหารไอที ในการปรับกลยุทธ์ด้านเครือข่ายให้สอดคล้องกับธุรกิจ…
ผลการสำรวจเกี่ยวกับผลกระทบทางด้านไอทีทั่วโลกของซิสโก้ (Cisco Global IT Impact Survey) ประจำปี 2556 มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินบทบาทการลงทุนด้านเน็ตเวิร์ก หรือ เครือข่าย เพื่อตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ พร้อมทั้งประเมินว่าการลงทุนด้านเน็ตเวิร์กในปัจจุบัน สามารถก้าวทันความต้องการของธุรกิจได้มากน้อยเพียงใด รวมถึงแนวโน้มที่ฝ่ายไอทีจะปรับใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการปรับปรุงธุรกิจได้มากขึ้นอย่างไร
ขณะที่องค์กรธุรกิจติดตั้งแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมสร้างประสบการณ์การใช้งานในการเชื่อมต่อรูปแบบใหม่ๆเพื่อปรับปรุงการ ให้บริการแก่ลูกค้า ฝ่ายไอทีก็ต้องรับมือกับปัญหาท้าทายในการขยายบริการเครือข่าย และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เน็ตเวิร์กเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของธุรกิจ จากผลการศึกษาทั่วโลกที่ซิสโก้เปิดเผยในวันนี้ พบว่าบุคลากรไอทีส่วนใหญ่ (63 เปอร์เซ็นต์) มั่นใจว่าตนเองสามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้อย่างเหมาะสม แต่เกือบหนึ่งในสาม (27 เปอร์เซ็นต์) ยอมรับว่ายังไม่สามารถตอบสนองความต้องการทางธุรกิจได้อย่างชัดเจน
แอพพลิเคชั่นและความคาดหวังของผู้ใช้มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยเกือบสามในสี่ของบุคลากรฝ่ายไอที (71 เปอร์เซ็นต์) รายงานว่า ปัจจุบันฝ่ายไอทีติดตั้งแอพพลิเคชั่นมากกว่าเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
เป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นว่าระบบไอทีและเน็ตเวิร์กคือเครื่องมือรองรับการดำเนินธุรกิจ ผู้ตอบแบบสอบถามที่ระบุว่าเน็ตเวิร์กมีความสำคัญต่อการนำเสนอแอพพลิเคชั่นมากกว่าเมื่อหนึ่งปีที่แล้วมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้น (78 เปอร์เซ็นต์)
การปรับระบบไอทีให้สอดคล้องกับธุรกิจมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ฝ่ายไอทีไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเสมอไป โดยผู้บริหารฝ่ายไอทีเกือบเก้าในสิบคน (89 เปอร์เซ็นต์) ทำงานร่วมกับผู้บริหารในสายงานธุรกิจอย่างน้อยเดือนละครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าส่วนงานธุรกิจมีความเข้าใจเกี่ยวบทบาทที่สำคัญมากขึ้นของเน็ตเวิร์กสำหรับการนำเสนอแอพพลิเคชั่น อย่างไรก็ตาม กว่าหนึ่งในสาม (38 เปอร์เซ็นต์) ของบุคลากรฝ่ายไอทีที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าตนเองมีส่วนร่วมในกระบวนการวางแผนและติดตั้งในขั้นตอนที่ล่าช้าเกินไป
นอกเหนือจากประเด็นอื่นๆ แล้ว การสำรวจผลกระทบทางด้านไอทีทั่วโลกของซิสโก้ยังตรวจสอบความรู้สึกของฝ่ายไอทีต่อแนวโน้มใหม่ๆ ทางด้านเทคโนโลยี เช่น ระบบเน็ตเวิร์กที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์ (Software Defined Networking – SDN) และเน็ตเวิร์กอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน (Internet of Things) จากผลการสำรวจ พบว่าหนึ่งในสาม (34 เปอร์เซ็นต์) คิดว่าระบบเน็ตเวิร์ก SDN เป็นเรื่องเหลือเชื่อเหมือนกับบิ๊กฟุต เอลวิส หรือสัตว์ประหลาดล็อคเนส ขณะที่ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง (42 เปอร์เซ็นต์) ระบุว่าตนเองแทบไม่เคยได้ยินเรื่อง Internet of Things
เมื่อขอให้เปรียบเทียบว่าฝ่ายไอทีมีลักษณะหรือเหมือนกับอะไร 36 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารในสายงานธุรกิจมองว่าฝ่ายไอทีมีบทบาทเป็น ?ผู้คิดค้นนวัตกรรม? 34 เปอร์เซ็นต์มองว่าฝ่ายไอทีเป็น ?นักประพันธ์เพลง? ขณะที่ 15 เปอร์เซ็นต์มองว่าฝ่ายไอทีเป็น ?เจ้าหน้าที่ดับเพลิง? 7 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าเป็น ?ผี? และอีก 7 เปอร์เซ็นต์มองฝ่ายไอทีว่าเป็น ?หมอดู?
ถึงแม้ข้อมูลจากการสำรวจจะระบุว่า ผู้บริหารฝ่ายไอทีส่วนใหญ่รู้สึกว่าตนเองทำงานในลักษณะที่สอดคล้องกับแนวทางธุรกิจอย่างใกล้ชิด แต่ยังคงมีการติดตั้งแอพพลิเคชั่นทางธุรกิจโดยที่ผู้บริหารฝ่ายไอทีไม่ทราบ และผู้บริหารฝ่ายไอทีกว่าสามในสี่คน (76 เปอร์เซ็นต์) ระบุว่า ผู้บริหารในสายงานธุรกิจและทีมงานฝ่ายอื่นๆ (ที่ไม่ใช่ฝ่ายไอที) ติดตั้งแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ โดยที่ฝ่ายไอทีไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม ?ทุกครั้ง? หรือ ?บางครั้ง?
นอกจากนั้น กว่าหนึ่งในสาม (38 เปอร์เซ็นต์) ของบุคลากรฝ่ายไอทีที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าตนเองเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการวางแผนและปรับใช้ ?ช่วงการเริ่มต้นใช้งาน? หรือ ?หนึ่งวันก่อนหน้าที่จะเริ่มต้นใช้งานจริง? ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าส่วนงานธุรกิจดำเนินโครงการริเริ่มใหม่ๆ โดยไม่ได้ปรึกษาฝ่ายไอที ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบเน็ตเวิร์กในการรองรับแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ
ผู้บริหารฝ่ายไอทีได้อธิบายเกี่ยวกับทัศนคติของตนเองต่อการของบประมาณในการ อัพเกรดโครงสร้างพื้นฐานเน็ตเวิร์กจากผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ โดย 18 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าตนเองยินดีที่จะ ?แหกคุกหรือฝึกฝนอย่างหนักเพื่อเข้าแข่งขันไตรกรีฑา? มากกว่าที่จะร้องของบประมาณเพิ่มเติม
เมื่อฝ่ายไอทีถูกถามว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าตนเองทำงานได้ดีแล้ว ผู้ตอบแบบสอบถามหนึ่งในสี่คน (26 เปอร์เซ็นต์) ระบุว่า ดูจากการที่ ?ไม่มีใครโทรติดต่อเรา? และเกือบหนึ่งในสี่ (23 เปอร์เซ็นต์) เลือกคำตอบที่ว่า ?มีโอกาสได้นอนหลับอยู่ที่บ้านแทนที่จะต้องค้างคืนที่ออฟฟิศ?
แม้ว่าส่วนงานธุรกิจมีความเข้าใจเกี่ยวบทบาทที่สำคัญมากขึ้นของเน็ตเวิร์กในการนำเสนอแอพพลิเคชั่น 82 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามยอมรับว่าแอพพลิเคชั่นมาตรฐานทางธุรกิจ ได้รับผลกระทบจากประสิทธิภาพของเน็ตเวิร์ก แม้กระทั่งในแอพพลิเคชั่นพื้นฐาน เช่น เว็บ บริการไฟล์ และอีเมล์
เมื่อสอบถามถึงสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความล่าช้าในการเริ่มต้นใช้งานแอพพลิเคชั่นใหม่ในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ระบุว่าเป็นเพราะงบประมาณ (34 เปอร์เซ็นต์) ขณะที่ผู้ตอบแบบสอบถาม 26 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ ความพร้อมของระบบคลาวด์ และข้อจำกัดของเน็ตเวิร์ก เช่น แบนด์วิธ หนึ่งในสี่ (25 เปอร์เซ็นต์) ระบุว่า ?ความล่าช้าโดยทั่วไป? คือสาเหตุหลัก
71 เปอร์เซ็นต์มีแผนที่จะปรับใช้โซลูชั่น SDN ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยหนึ่งในสาม (33 เปอร์เซ็นต์) ระบุว่าเหตุผลหลักก็คือ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ขณะที่อีกหนึ่งในสาม (33 เปอร์เซ็นต์) ระบุว่า เพื่อให้สามารถปรับขนาดโครงสร้างพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว
เกือบสามในสี่ (71 เปอร์เซ็นต์) รายงานว่า ฝ่ายไอทีติดตั้งแอพพลิเคชั่นมากกว่าเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว แต่ 41 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าเน็ตเวิร์กของตนยังไม่พร้อมที่จะรองรับนโยบาย ?การนำเอาอุปกรณ์ส่วนตัวมาใช้ในที่ทำงาน (Bring Your Own Device – BYOD)? ขณะที่ 38 เปอร์เซ็นต์ระบุว่าตนเองยังไม่พร้อมที่จะรองรับระบบคลาวด์
เมื่อขอให้ประเมินความพร้อมสำหรับแอพพลิเคชั่นและการปรับใช้เทคโนโลยี Internet of Things เกือบครึ่งหนึ่ง (48 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยขยายโอกาสใหม่ๆ ทางด้านธุรกิจ
ผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า ?ความพร้อมสำหรับระบบคลาวด์? (29 เปอร์เซ็นต์) เป็นโครงการริเริ่มทางด้านเน็ตเวิร์กที่สำคัญที่สุดสำหรับองค์กรของตนในช่วงปีหน้า ตามมาด้วย ?การผสานรวมเทคโนโลยีด้านไอทีและเทคโนโลยีด้านการปฏิบัติงาน? (28 เปอร์เซ็นต์) และ ?การผนวกรวม/การทำเวอร์ช่วลไลเซชั่นสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์? (27 เปอร์เซ็นต์)
เมื่อขอให้จัดอันดับโครงการริเริ่มทางด้านไอทีที่ยากที่สุดในช่วงปีที่ผ่านมา อันดับหนึ่ง คือ การย้ายแอพพลิเคชั่นไปยังระบบคลาวด์ (40 เปอร์เซ็นต์) และอันดับที่สองคือ การทำเวอร์ช่วลไลเซชั่นสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ (38 เปอร์เซ็นต์) ข้อมูลนี้สอดคล้องกับผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเน็ตเวิร์กคลาวด์ทั่วโลกของซิสโก้ (Cisco Global Cloud Networking Survey) ประจำปี 2555 ซึ่งพบว่าบุคลากรฝ่ายไอทีบางคนเลือกที่จะยอมถอนฟัน หรือทำรายการภาษีด้วยตนเอง แทนที่จะแก้ไขปัญหาเรื่องระบบเน็ตเวิร์กที่เกี่ยวเนื่องกับการปรับใช้ระบบคลาวด์
อีกประเด็นหนึ่งที่สอดคล้องกับผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับเน็ตเวิร์กคลาวด์ทั่วโลกของซิสโก้ประจำปี 2555 ก็คือ ประเด็นเรื่องความปลอดภัย ซึ่งถูกระบุว่าเป็นอุปสรรคสำคัญอันดับ 1 ที่ขัดขวางความสำเร็จในการปรับใช้บริการคลาวด์หรือโมบิลิตี้ โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 80 เปอร์เซ็นต์ระบุว่านี่คือปัญหาท้าทายที่สำคัญเช่นกัน
นายร็อบ โซเดอร์เบรี่ รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจเน็ตเวิร์กระดับองค์กรของซิสโก้ กล่าวว่า เทคโนโลยีไอทีมีก่อให้เกิดผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อธุรกิจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมถึงการมีโอกาสในการทำหน้าที่เป็นพันธมิตรรายสำคัญ ด้วยการสร้างสถาปัตยกรรมเน็ตเวิร์กที่สามารถใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีที่หลากหลาย บุคลากรฝ่ายไอทีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ ผู้ที่รับทราบว่าการตัดสินใจที่รวดเร็วภายในองค์กร ขึ้นอยู่กับความพร้อมของระบบเครือข่าย.
?
Tags: ซิสโก้เผยผู้บริหารไอทียังต้องปรับปรุง, แม้ระบบจะสอดคล้องกับธุรกิจเทคทีวี ปลื้ม ช่อง9-NBT เลือกทดสอบเครื่องส่งดิจิตอลทีวี ‘THU9′
Posted by admin on
July 29, 2013
โรเดอร์ แอนด์ ชวาร์ส-เทคทีวี เปิดตัวนวัตกรรมเครื่องส่งดิจิตอล ทีวี THU9 ?ประเดิมทดสอบระบบ ให้ช่อง 9 และ NBT ชูจุดเด่นที่ประหยัดพลังงานมากกว่าคู่แข่งถึง 42% พร้อมประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ขนาดเล็กน้ำหนักเบา ยืดหยุ่นรองรับการอัพเกรดในอนาคต…
นายชูชัย ชาญสง่าเวช กรรมการบริหาร บริษัท เทค ทีวี (TeqTV) จำกัด ?ในฐานะตัวแทนจำหน่าย ในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียวของ โรเดอร์ แอนด์ ชวาร์ส ภายใต้ชื่อ Rohde & Schwarz by TEQTV เปิดเผยว่า หลังจากที่ กสทช. ได้เปิดให้สถานีโทรทัศน์ ได้สิทธิ์ทดลองให้บริการดิจิตอล ทีวีได้ ทางบริษัทฯ ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากทางสถานีโทรทัศน์ต่างๆ สอบถามถึงอุปกรณ์สำหรับให้บริการดิจิตอล ทีวี ของโรเดอร์ แอนด์ ชวาร์ส ซึ่งปัจจุบันถือเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีดิจิตอล ทีวี โดยล่าสุด บริษัทได้รับความไว้วางใจจาก บมจ. อสมท และ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (NBT) ให้เป็นผู้ติดตั้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณทีวี ดิจิตอล เพื่อทำการทดลองให้บริการดิจิตอล ทีวี ในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ โดยบริษัทฯมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมนำเสนออุปกรณ์พร้อมระบบสำหรับให้บริการดิจิตอล ทีวี ให้แก่สถานีผู้ได้สิทธิ์ทุกราย
นายชูชัย กล่าวอีกว่า จุดเด่นของอุปกรณ์และระบบให้บริการดิจิตอล ทีวี ของโรเดอร์ แอนด์ ชวาร์ส เป็นโซลูชั่นที่ครบวงจร มีประสิทธิภาพ และเสถียรภาพมากที่สุด ในปัจจุบัน โดยได้รับความไว้วางใจจากสถานีและสตูดิโอชั้นนำในต่างประเทศหลากหลายที่เลือกใช้บริการ นอกจากนี้ทางโรเดอร์ แอนด์ ชวาร์ส ยังได้พัฒนาเทคโนโลยี Doherty ที่สามารถช่วยประหยัดพลังงาน ได้มากถึง 42% ซึ่งถือเป็นการช่วยลดต้นทุนให้แก่ลูกค้าได้เป็นอย่างมาก และนอกเหนือจากจุดแข็ง ด้านประสิทธิภาพของอุปกรณ์และระบบแล้ว บริการหลังการขายของบริษัทฯ ถือเป็นจุดสำคัญที่ลูกค้าเลือก ตัดสินใช้บริการของเรา เนื่องจากบริษัทฯมีทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ที่ได้รับการอบรมมาโดยตรงจาก โรเดอร์ แอนด์ ชวาร์ส ประเทศเยอรมนี ที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชม. ซึ่งบริการหลังการขายถือเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับธุรกิจสื่อโทรทัศน์และวิทยุ เนื่องจากโทรทัศน์ไม่สามารถหยุดให้บริการได้
?เราได้ติดตั้งเครื่องส่ง THU9 ในสถานีทดลองของช่องโมเดิร์นไนน์ และ NBT ซึ่งเป็นเครื่องส่งที่ดีที่สุดในโลกด้วยคุณสมบัติเด่น 5 ข้อ คือ 1.ประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานเทคโนโลยี Doherty ช่วยประหยัดพลังงานได้มากถึง 42% ถือเป็นการลดต้นทุนในระยะยาว 2.อุปกรณ์มีขนาดเล็กกว่าทั่วไปถึง 5 เท่า และมีน้ำหนักเบา ตัดปัญหาการกังวลเครื่อง Floor Load? นอกจากนั้นใน 1 Rack ยังสามารถจุเครื่องส่งได้ถึง 6 เครื่อง 3.จากการออกแบบที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การติดตั้งทำได้อย่างรวดเร็ว และง่ายต่อการใช้งาน และดูแลรักษา รวมถึงตัวเครื่อง ได้รับการออกแบบให้มีความทนทานสูง ตามมาตรฐานเยอรมนี
4.ระบบได้รับการออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับให้มีความเหมาะสมต่อสภาพการใช้งานในแต่ละพื้นที่ได้เป็นอย่างดี อาทิ ความสามารถในการรองรับดิจิตอลและอนาล็อกได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเหมาะสมกับสภาพตลาดที่มีการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี และ 5. อุปกรณ์และระบบได้รับการออกแบบมาให้สามารถรองรับเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ รวมถึงสามารถรองรับการ upgrade และ update ซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องโดยที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอุปกรณ์.
?
Tags: THU9, ช่อง9-NBT, ปลื้ม, เทคทีวี, เลือกทดสอบเครื่องส่งดิจิตอลทีวีโมโนเทคปิดดีล คว้าลิขสิทธิ์คอนเทนต์ ‘ลิเวอร์พูล’
Posted by admin on
July 29, 2013
MONO คว้าลิขสิทธิ์คอนเทนท์ทีมฟุตบอลดัง “ลิเวอร์พูล” เรียบร้อยแล้ว ในการเผยแพร่ข้อมูลและทำกิจกรรมการตลาดกับสโมสรลิเวอร์พูล ผ่านช่องทาง SMS , MMS, IVR ทางโทรศัพท์มือถือ เตรียมจัดกิจกรรรมเอาใจสาวกเดอะค็อปไทยเต็มที่ ประเดิมกแคมเปญ “Liverpool FC ? Win a trip to Anfield”…
นายซัง โด ลี? ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมโน เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงที่มาที่ไปการได้สิทธิ์ว่า เนื่องจากนโยบายของบริษัทฯ คือ การเป็นผู้ผลิตและสร้างสรรค์คอนเทนต์ความบันเทิงที่หลากหลาย ?เราจึงมองคอนเทนต์กีฬาเป็นอีกหนึ่งคอนเทนต์ความบันเทิง? ที่ปฎิเสธไม่ได้ว่าคอนเทนต์กีฬาเป็นคอนเทนต์ที่ใหญ่ระดับโลกและเป็นคอน เทนต์ที่มีความแข็งแกร่งมาก?? โดยเฉพาะฟุตบอลพรีเมียร์ลีกที่ดังและเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ซึ่งทีมที่คนไทยนิยมมากในอันดับต้นๆ ต้องมีชื่อของทีมลิเวอร์พูล? ที่มีแฟนคลับหรือเดอะค็อปในประเทศไทยสูงถึง 14 ล้านคน
ซีอีโอโมโน เทคโนโลยี กล่าวคต่อว่า การจับมือเป็นพันธ์มิตรกับสุดยอดสโมสรฟุตบอลระดับโลกอย่าง ?ลิเวอร์พูล? ถือเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับคอนเทนต์ด้านกีฬาของโมโนเพิ่มมากขึ้น บริษัทจึงยอมทุ่มทุนเพื่อเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์? ?Official Mobile Partner of Liverpool Football Club in Thailand หรือการเผยแพร่ข้อมูลและทำกิจกรรมการตลาดกับสโมสรลิเวอร์พูล ผ่านช่องทาง SMS, MMS, IVR ทางโทรศัพท์มือถือ ประจำประเทศไทย แบบถูกลิขสิทธิ์เพียงเจ้าเดียว โดยเราจะได้คอนเทนต์ที่เป็นข้อมูลของลิเวอร์พูล ทั้ง ประวัติ, สโมสร, นักกีฬา, เพลง, รูปภาพและข่าวสารต่างๆ เพื่อนำมาแปลเป็นภาษาไทย? และนำมาทำเป็นคอนเทนต์ผ่านบริการทางมือถือ เรียกว่าเอ็กซ์คลูซีฟโมบายคอนเทนต์ อีกทั้งยังเผยแพร่กิจกรรมข่าวสารต่างๆ ของสโมสรผ่านทางเว็บไซต์ http://sport.mthai.com/lfc ได้ อีกด้วย
นายซัง โด ลี? กล่าวด้วยว่า ด้านศักยภาพความพร้อมของโมโน ??เราพร้อมทั้งทางด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัยและทีมงานมืออาชีพ ?ซึ่งจะทำให้คอนเทนต์เอ็กซ์คลูซีฟจาก ลิเวอร์พูลในรูปแบบต่างๆ ส่งตรงถึงผู้ใช้บริการทางมือถืออย่างแน่อน ?และเชื่อว่าน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของเดอะค็อปในไทย ทั้งนี้โมโนกรุ๊ปจะจับมือร่วมกับ 3 โอเปอเรตอร์ เอไอเอส, ดีแทค, ทรูมูฟ เอช ในการจัดทำคอนเทนต์ลิเวอร์พูลผ่านบริการทางมือถือ เพื่อส่งต่อไปยังผู้ใช้บริการมือถือในระบบต่างๆ โดยแคมเปญแรกได้ร่วมกับ ดีแทค ภายใต้แคมเปญ ?Liverpool FC – Win a trip to Anfield? ?เพื่อพาผู้โชคดีจากการสมัครบริการ โทร.*33657 ?บินลัดฟ้าไปชมการแข่งขันพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2013/14 ของทีมลิเวอร์พูลถึงประเทศอังกฤษ และยังได้สิทธิ์เช้าชมสนามซ้อมที่ Melwood พร้อมสนุกสนานกับกิจกรรมมี๊ดแอนด์กรี๊ด ??ผู้โชคดียังได้สิทธิ์เข้าทัวร์พิพิธภัณฑ์สโมสรลิเวอร์พูลและสนามแอนด์ ฟิลด์ ?รวมทั้งได้รับของที่ระลึกของทีมลิเวอร์พูลพร้อมลายเซ็นต์นักเตะจากสโมสร ลิเวอร์พูล ณ ประเทศอังกฤษ อีกด้วย.
Tags: คว้าลิขสิทธิ์คอนเทนต์, ลิเวอร์พูล, โมโนเทคปิดดีลสพฉ.ถอดบทเรียนรถทัวร์ ประสานงานรถพ่วงดับหลายศพ
Posted by admin on
July 29, 2013
สพฉ. ถอดบทเรียนเหตุการณ์ทัวร์ประสานงานรถพ่วงชี้เกิดจาก สภาพคนขับ ?สภาพถนน-สภาพรถ เสนอมาตรการดูแลความปลอดภัยผู้โดยสาย ฝึกอบรมพนักงาน ด้านทีมกู้ชีพเล่านาทีชีวิตสาเหตุที่มีผู้เสียชีวิตมากเหตุเพราะหนีออกจากรถไม่ได้ …
ภายหลังจากที่เกิดกรณีอุบัติเหตุรถทัวร์ชนประสานงากับรถบรรทุกพ่วงบนถนนมิตรภาพ ขาล่องหลัก ก.ม.ที่ 19 ม.9 ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย จ.สระบุรี จนเกิดไฟลุกไหม้ และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจากการถูกไฟคลอกเป็นจำนวนมาก เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้ถอดบทเรียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติ รวมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นซ้ำสองอีก
น.ส.นวพร สุขประเสริฐ ฝ่ายประชาสัมพันธ์มูลนิธิร่วมกตัญญู รหัสนคร 0592 และนักสื่อสารกู้ชีพของสพฉ.ตัวแทนของมูลนิธิที่ได้เข้าร่วมการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ กล่าวว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะคนขับรถเทลเลอร์เกิดหลับใน และข้ามเกาะกลางมาชนประสานงากับรถทัวร์ ร้อยเอ็ด-กรุงเทพ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 21 คน โดยเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 19 คน และเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 2 คน ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมากนั้น สาเหตุมาจากการโดนไฟบนรถทัวร์คลอก และไม่สามารถหนีออกมาจากรถทัวร์ได้ นอกจากนี้แล้วสถานที่เกิดเหตุนั้นยังมีความลาดชัน จึงทำให้ทัศนวิสัยในการขับขี่รถเป็นไปอย่างยากลำบาก
น.ส.นวพร กล่าวต่อว่า จากการเข้าให้การช่วยเหลือของมูลนิธิร่วมกตัญญูจุดสระบุรี ในช่วงแรกของเหตุการณ์นั้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้เสียชีวิตบางรายนั้น ไม่ได้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที แต่การเข้าให้การช่วยเหลือเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ทั้งลักษณะของรถบัสที่เป็นสองชั้น ประกอบกับไฟที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง สิ่งที่สำคัญ คือ ผู้ประสบเหตุเกือบทุกคนไม่รู้วิธีที่จะช่วยเหลือตนเองเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ บางศพที่เข้าไปเก็บกู้ออกมานั้นระบุลักษณะอาการชัดเจนว่า ไม่ได้เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ แต่เสียชีวิตเพราะไม่สามารถออกจากรถทัวร์ได้ จนถูกไฟคลอกเสียชีวิต แม้กระทั่งการมองหาทางออกฉุกเฉินผู้ประสบเหตุยังไม่สามารถทำได้ เพราะไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงช่วงไหนอย่างไรบ้าง
“แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้เกิดจากรถทัวร์โดยตรง แต่รถทัวร์เป็นรถโดยสารสาธารณะ จึงควรจะมีวิธีป้องกันไม่ให้เหตุลักษณะนี้ขึ้นอีก หรือหากเกิดขึ้นอีกผู้โดยสารก็ควรได้รับรู้ข้อมูลที่จะเอาตัวรอดได้ จึงควรฝึกให้พนักงานขับรถหรือพนักงานบริการบนรถทัวร์มีความรู้ในเรื่องของการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และให้ข้อมูลกับผู้โดยสารถึงการเอาตัวรอดหากเกิดเหตุการณ์วิกฤตบนรถทัวร์ หรือเกิดอุบัติเหตุบนรถทัวร์ขึ้น รวมถึงวิธีการสังเกตทางออกฉุกเฉินอุปกรณ์ฉุกเฉินและการใช้อุปกรณ์ต่างๆ บนรถทัวร์ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอาจจะทำออกมาในลักษณะของรูปแบบวีดีโอ หรือหนังสั้น หรือ รูปแบบการ์ตูนเพื่อให้ผู้โดยสายดูและเข้าใจง่าย ก็จะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนรถโดยสารได้? นักสื่อสารกู้ชีพของสพฉ.กล่าว
ด้าน นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสพฉ. กล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว สพฉ.มีข้อพิจารณาเพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำซาก เบื้องต้นวิเคราะห์สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุว่าเกิดจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.สภาพคนขับที่ไม่พร้อม มีอาการหลับใน ซึ่งปัญหาเกิดจากการใช้คนขับคนเดียวในระยะทางไกล 2.สภาพรถทัวร์ คือรถที่มีความสูงมากและใช้ความเร็ว มักจะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และ 3. สภาพถนน คือถนนสายมิตรภาพมักเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง เนื่องจากเป็นเส้นทางที่มีรถใช้เป็นจำนวนมาก ลักษณะถนนเป็นการขึ้นเนินถี่ และแม้จะวิ่งไม่เร็วก็จะมีแรงส่ง ซึ่งตามหลักแล้วสภาพถนนลักษณะเช่นนี้ไม่ควรวิ่งในความเร็วเกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความสูญเสียซ้ำซาก คือไม่มีการเตรียมพร้อมกรณีการเกิดอุบัติเหตุที่มีไฟไหม้ซ้ำ ไม่มีรถที่มีความพร้อม ไม่มีอุปกรณ์ดับเพลิง หรืออุปกรณ์การช่วยเหลือชีวิตเบื้องต้น หรือหากมีก็ไม่คุ้นเคย ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน หรือใช้ไม่เป็น เช่นในกรณีนี้ ไม่รู้ว่าหากเกิดไฟไหม้จะต้องตั้งสติและช่วยกันใช้อุปกรณ์ดับเพลิง หรือใช้ค้อนเล็กทุบกระจกเพื่อหนีออกมา
เลขาธิการ สพฉ. กล่าวต่อว่า ในส่วนของการช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินหรือเกิดอุบัติเหตุ สพฉ. ก็ต้องเร่งหาแนวทางในการพัฒนาเช่นกัน โดยต้องประสานการทำงานระหว่างทีมกู้ชีพและทีมกู้ภัยให้มีความพร้อม ทำงานให้ได้มาตรฐาน มีจำนวนที่เพียงพอ และมีกระบวนการในการส่งต่อผู้ป่วยที่มีความพร้อม เช่น รู้ว่าโรงพยาบาลใดที่อยู่ใกล้และมีความพร้อมในการรักษา โดยเฉพาะกรณีการเกิดเหตุไฟไหม้ จะมีเพียงโรงพยาบาลใหญ่ๆ เท่านั้นที่มีหอผู้ป่วยรับผู้ป่วยไฟไหม้ และในหนึ่งโรงพยาบาลก็มีเพียง 6-7 เตียง ซึ่งในเบื้องต้นการตั้งศูนย์อุบัติเหตุของกระทรวงสาธารณสุขก็สามารถรองรับในส่วนนี้ได้พอสมควร
อีกทั้ง อุปกรณ์กู้ภัยก็ต้องมีความพร้อม เช่นในกรณีรถใหญ่พลิกคว่ำ จะต้องใช้รถเครนยกรถ เพื่อแก้ปัญหารถทับผู้ประสบเหตุอยู่ แต่จากข้อมูลปัจจุบันรถดังกล่าวยังกระจายอยู่ไม่ทั่วถึงในแต่ละภูมิภาค นอกจากนี้ในส่วนของกู้ชีพกู้ภัย จะต้องมีการซ้อมแผนเผชิญอุบัติเหตุเพื่อเตรียมพร้อมอยู่เสมอเช่นกัน
?โจทย์ที่ต้องร่วมกันแก้ไข จะต้องครอบคลุมในทุกประเด็นทั้งเรื่อง คน รถ ถนน ความพร้อมในการรับมือ และที่สำคัญคือต้องสร้างจิตสำนึกให้คนไทยรู้จักการป้องกัน ระวังภัย ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องร่วมกันทำไม่เช่นนั้นการป้องกันก็คงไม่สำเร็จ และเราคงไม่อยากยินดีกับสถิติการเกิดอุบัติเหตุที่ประเทศไทยครองแชมป์การเกิดอุบัติเหตุมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลกอยู่ขณะนี้? นพ.อนุชา กล่าว
เลขาธิการสพฉ. กล่าวด้วยว่า แนวทางในการป้องกันและแก้ปัญหาเบื้องต้นว่า สพฉ.จะต้องเร่งให้ความรู้กับประชาชนและเห็นว่าควรมีการฝึกอบรมให้พนักงานประจำรถโดยสาร มีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วย เพื่อให้คำแนะนำที่ถูกต้องกับผู้โดยสาร ซึ่งนอกจากในส่วนของกลุ่มคนดังกล่าวแล้ว ยังตั้งเป้าการกระจายความรู้และสร้างอาสาสมัครกู้ชีพที่มีความรู้เรื่องการปฐมพยาบาลในแต่ละอาชีพด้วย อาทิ โรงงาน โรงเรียน ชุมชน คือจะต้องรู้ว่าต้องช่วยเหลืออย่างไรเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน อาการแบบใดจะต้องแจ้งขอความช่วยเหลือ และวิธีการแจ้งขอความช่วยเหลือ.
Tags: ประสานงานรถพ่วงดับหลายศพ, สพฉ.ถอดบทเรียนรถทัวร์10 อันดับเอ็มวี K-POP ยอดนิยมครึ่งแรกปี 2013
Posted by admin on
July 27, 2013
เว็บไซต์ยูทูบประกาศ 10 อันดับมิวสิควิดีโอ หรือ เอ็มวี K-POP ที่มียอดเข้าชมสูงที่สุดในครึ่งแรกของปี 2013 โดยแชมป์อันดับ 1 ยังตกเป็นของ PSY ที่พาซิงเกิล GENTLEMAN ติดลมบนฮิตไปทั่วโลกด้วยยอดวิว 494,430,306 ครั้ง ขณะที่ BREAK DOWN ของ Super Junior M ได้อันดับ 2 ที่ 14,489,408 ครั้ง…
หลังจากปี 2012 เกือยจะจะเรียกว่าเป็นปีทองของเพลงแนว K-POP ด้วยกระแสการมาของเพลงสุดฮิตพร้อมท่าเต้นควบม้าของ PSY (ไซ) ในซิงเกิล Gangnam Style ที่กระจายไปทั่วโลกแทบทุกคนในโลกที่ดูยูทูปต้องเคยได้ดูเพลงนี้ทั้งเวอร์ชั่นจริง และโคฟเวอร์เวอร์ชั่นต่างๆ ส่งผลให้ทาง Youtube จึงให้ความสำคัญกับเพลงกระแสทางเลือกอย่าง K-POP เข้าไปด้วย ทำให้ปีนี้ Youtube จัดอันดับ MV K-POP ที่มีผู้ชมทั่วโลกดูมากที่สุด 10 อันดับในครึ่งปีแรก? โดยจำนวนเข้าชมนับตั้งเริ่มโพสจนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2556 ไปดูกันดีกว่าว่า มีเพลงไหนที่ตรงกับใจแฟนเพลง K-POP ชาวไทยกันบ้าง
1.??? PSY ? GENTLEMAN (จำนวนครั้งที่เข้าชม 494,430,306 ครั้ง)
2.??? Super Junior M ? BREAK DOWN (จำนวนครั้งที่เข้าชม?14,489,408 ครั้ง)
3.??? 4MINUTE ? What?s Your Name ? (จำนวนครั้งที่เข้าชม?10,293,038 ครั้ง)
4.??? EXO ? Wolf (จำนวนครั้งที่เข้าชม?9,906,094?ครั้ง)
5.??? G-DRAGON ? GO (จำนวนครั้งที่เข้าชม?9,112,071?ครั้ง)
6.??? SISTAR19 ? GONE NOT AROUND ANY LONGER (จำนวนครั้งที่เข้าชม?8,238,012 ครั้ง)
7.??? BoA ? Disturbance (จำนวนครั้งที่เข้าชม?7,874,853 ครั้ง)
8.??? SHINee ? DREAM GIRL (จำนวนครั้งที่เข้าชม?7,853,537 ครั้ง)
9.??? B.A.P ? ONE SHOT (จำนวนครั้งที่เข้าชม?7,847,366 ครั้ง)
10.? SHINee ? Why So Serious ? (จำนวนครั้งที่เข้าชม?6,255,345 ครั้ง)
จากการจัดอันดับก็ยังเป็น PSY ที่มียอดวิวสูงมากในครึ่งปี เนื่องจากปีที่แล้วจาก Gangnam Style กลายเป็นคลื่นช็อควงการเพลง ทำให้ปีนี้เขายังคง สร้างกระแสต่อไปด้วยเพลง Gentleman ที่เอ็มวีมาในรูปแบบผู้ชายโคตรสวนทางกับความเป็นสุภาพบุรุษแม้ว่าซิงเกิลคัมแบ็คของเขาในปีนี้จะไม่โด่งดังเหมือนกับกังนัมสไตล์ก็ตาม ส่วนศิลปินคนอื่นถ้าหากเปรียบเทียบจากการเปิดตัวครั้งแรก บางวงเปิดตัวทีหลังแต่กลับมียอดวิวสูงกว่า ก็เป็นสัญญาณหนึ่งที่ช่วยวัดความดังของศิลปินได้ เช่น เพลง GONE NOT AROUND ANY LONGER ของ SISTAR19 ที่ในบ้านเรามีเวอร์ชันโคฟเวอร์สุดระทึกหัวใจ โดยสองหนุ่มใจสาวหัวเกรียนทีม “I’MSOHOT” ที่มากับรองเท้าส้นสูง และเสื้อบอลทีมบาร์เซโลนา เบอร์ 10 ของ เมสซี
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความนิยมจากชาร์ทหนึ่งที่วัดแค่เฉพาะคนในประเทศเกาหลีใต้ว่า นิยมชม MV อะไรใน Youtube มากกว่ากันก็พบว่า อันดับที่ 1 ก็ยังเป็นเพลง GENTLEMAN ของ PSY นั่นเอง
1.??? PSY ? GENTLEMAN
2.??? SISTAR19 ? GONE NOT AROUND ANY LONGER
3.??? Roy Kim ? BOM BOM BOM
4.??? 4MINUTE ? What?s Your Name ?
5.??? BoA ? Disturbance
6.??? LEE HI ? IT?S OVER
7.??? Baechigi ? Shower Of Tears [Feat.Ailee]
8.??? LEE HI ? ROSE
9.??? G-DRAGON ? GO
10.? INFINITE H ? Without U [Feat.Zion.T]
ที่มา http://faceblog.in.th/2013/07/youtube-announce-10-mv-kpop-chart/?utm_source=twitterfeed&utm_medium=twitter โดย @vVkungz
?
Tags: 10, 2013, K-POP, ยอดนิยมครึ่งแรกปี, อันดับเอ็มวี