สื่อวิทยุกับยุคทีวีดิจิตอล (ชมคลิป)

แม้โทรทัศน์จะก้าวเข้าสู่ระบบทีวีดิจิตอลเต็มตัวแล้ว สื่อวิทยุ ก็ยังคงเป็นสื่อที่มีคนติดตามอยู่เป็นจำนวนมาก และติดตามกันเหนียวแน่นมาเป็นเวลานาน ไทยรัฐออนไลน์จะพาไปทำความรู้จักกับดีเจ 2 คลื่น 2 สไตล์ กับมุมมองในวันที่สื่อดิจิตอลเข้ามาเปลี่ยนโลก…

เริ่มต้นปีด้วยกระแสของทีวีดิจิตอล ที่ใครหลายๆ คนกำลังให้ความสนใจ และจับตามองอย่างมาก เพราะเร็วๆ นี้ ก็คงจะได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางหน้าจอโทรทัศน์ ที่ก้าวเข้าสู่ระบบทีวีดิจิตอลอย่างเต็มตัว แต่ถึงแม้สื่อต่างๆ จะตื่นตัวกับการเปลี่ยนแปลงให้ทันกับยุคสมัยที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีอีกสื่อหนึ่ง นั่นคือวิทยุ ที่ยังเป็นสื่อดั้งเดิมที่มีคนติดตามอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะถึงแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ก็ยังคงได้รับความนิยมมายาวนาน วันนี้จะพาไปทำความรู้จักกับดีเจ 2 คลื่น 2 สไตล์ที่ครองใจคนฟังมาอย่างต่อเนื่อง ถามถึงความคิดเห็นในช่วงของการเปลี่ยนแปลงของสื่อทีวีดิจิตอล จะมีผลต่อสื่อวิทยุหรือไม่ ไปติดตามกันเลย ??????

ชมคลิป

ถึงแม้ว่าการแข่งขันของสื่อต่างๆ ในปัจจุบันจะมีการแข่งขันที่สูงขึ้น แต่สื่อวิทยุก็ยังคงมีเสน่ห์ที่ทำให้มีกลุ่มคนฟังติดตามมาอย่างต่อเนื่อง

เห็นได้จากลีลาการตอบคำถามและการจัดรายการของดีเจ 2 คลื่น 2 สไตล์กันไปแล้ว ก็ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมคลื่นวิทยุทั้ง 2 คลื่นนี้ถึงได้รับความนิยมจากผู้ฟังมาโดยตลอด ถึงแม้ว่ายุคสมัยจะก้าวล้ำไปมากแค่ไหน เชื่อว่าสื่อวิทยุก็จะยังคงเป็นสื่อที่มีคนติดตามอย่างยาวนาน.

?

ที่มาของข้อมูลจาก

คาดคนมีสีเบื้องหลังป่วนสัญญาณบลูสกาย

แหล่งข่าวจาก กสทช. ตั้งข้อสังเกต มือป่วนสัญญาณไทยคมอาจเป็นคนมีสี ขณะที่ เลขาธิการ กสทช. มั่นใจได้ตัวคนปล่อยสัญญาณรบกวนดาวเทียมไทยคม หากยังไม่เลิกพฤติกรรม…

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)?เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับดาวเทียมไทยคม สถานีโทรทัศน์บลูสกาย และประชาชน ในการติดตามหาคนปล่อยสัญญาณรบกวนการออกอากาศของบลูสกาย โดยส่งรถตรวจจับสัญญาณ 6 คัน เฝ้าจับสัญญาณในพื้นที่เป้าหมายตลอดเวลา โดยมั่นใจว่า หากมีการรบกวนสัญญาณในลักษณะเดิมอีก ก็จะสามารถจับตัวผู้กระทำความผิดได้

โดยเชื่อว่าผู้ที่กระทำผิดเป็นกลุ่มเดิม และจากข้อมูลหลักฐานของไทยคม แสดงให้เห็นว่า มีเจตนาก่อกวน และมีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ก่อกวน ทั้งในช่องหลัก และช่องสำรอง เพราะทั้งสองช่องใช้คลื่นที่ส่งแตกต่างกัน

แหล่งข่าวจาก กสทช. ระบุว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า ผู้กระทำการรบกวนสัญญาณอาจเป็นบุคคลในเครื่องแบบที่อยู่ในบริเวณนั้น เพราะได้รับอนุมัติงบประมาณในการจัดรถถ่ายทอดสด หรือรถโอบี หลายสิบคันให้อยู่ในพื้นที่นั้น

วานนี้ (29 ม.ค. 57) ตัวแทนจากไทยคม ได้มาพบ กสทช. เพื่อรายงานการรบกวนสัญญาณให้ทราบ ซึ่งจากผลการรายงานพบว่า วันที่ 29 มการาคม ไม่มีการรบกวน แต่วันที่ 28 มกราคม พบการรบกวนช่องสำรองสถานีโทรทัศน์บลูสกาย?ขณะที่ผู้บริหารบลูสกายได้เตรียมนกหวีดทองคำมอบให้กับประชาชนผู้ที่สามารถแจ้งเบาะแส หรือจับกุมผู้ดำเนินการรบกวนสัญญาณไว้แล้ว.

ที่มาของข้อมูลจาก

‘อาร์ทีบี’แจกอั่งเปาลดราคา’จาบรา’ รับตรุษจีน

“อาร์ทีบี เทคโนโลยี” มอบอั่งเปารับเทศกาลตรุษจีน ด้วยโปรโมชั่นหูฟังจากแบรนด์จาบรา ลดราคาสูงสุดกว่า 2,000 บาท ถึงสิ้นเดือน ก.พ.นี้?

อาร์ทีบี เทคโนโลยี ประกาศมอบอั่งเปาพิเศษ ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน ด้วยโปรโมชั่นจากหูฟังแบรนด์จาบรา (Jabra) โดยประกาศลดราคาตั้งแต่วันนี้ถึง 28 ก.พ. 57 ด้วยส่วนลดสูงสุด 2,000 บาท สำหรับผู้ที่ซื้อ Jabra Clipper หูฟังที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์,?Jabra Revo Corded หูฟังที่ให้พลังเสียงดนตรี, ประสบการณ์ดนตรีแบบไร้สายกับ Jabra Revo Wireless และหูฟัง Jabra Vox

ทั้งนี้ ผู้สนใจโปรโมชั่นดังกล่าวของ จาบรา สามารถซื้อได้ที่ร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ อาทิ Jaymart, iStudio, .Life, PowerMall, PowerBuy, TG fone.

ที่มาของข้อมูลจาก

คนไทยนิยมซอฟต์แวร์ผี 82เปอร์เซนต์ ยอมรับใช้ของละเมิดลิขสิทธิ์

“เว็บ thaiware” นำเสนออินโฟกราฟิก พบมีคนไทยเพียง 18% ยอมเสียเงินซื้อโปรแกรม-เกม-แอพฯ ลิขสิทธิ์ เสียงส่วนใหญ่บอกของแท้ราคาแพง กำลังทรัพย์ไม่เพียงพอ?

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ thaiware (www.thaiware.com) เว็บให้บริการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ ได้จัดทำ Infographic ในหัวข้อ “เหตุผลที่คุณใช้โปรแกรมเถื่อน เกมเถื่อน หรือแอพฯ เถื่อน คืออะไร?”

ทั้งนี้ ผลสำรวจของเว็บไซต์ thaiware ที่นำเสนอผ่านรูปภาพในครั้งนี้ พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 82% ตอบว่า ใช้ซอฟต์แวร์เถื่อน และมีเพียง 18% ที่ระบุว่า ใช้ซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์ นอกจากนี้ ยังแสดงความคิดเห็นและเหตุผลหลากหลาย แต่แบ่งได้เป็น 2 สาเหตุใหญ่ คือ 46% ของผู้ตอบแบบสำรวจให้เหตุผลว่า “ของแท้ราคาแพง กำลังทรัพย์ไม่เพียงพอ” และอีก 21% ระบุว่า “ชอบของฟรี ประหยัดเงินไปซื้ออย่างอื่นดีกว่า”

อย่างไรก็ตาม อีก 10% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ระบุว่า “ลองโหลดของเถื่อนใช้ไปก่อน ค่อยตัดสินใจซื้อ” 9% ระบุว่า “จ่ายเงินยาก ไม่มีบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต” 5% ระบุว่า “อื่นๆ คนอื่นก็ใช้ของเถื่อนกัน ไม่มีตัวแทนจำหน่ายในไทย” และอีก 3% ระบุว่า “หาซื้อยาก แถวบ้านไม่มีขาย ใช้แค่บางฟีเจอร์ คิดว่าไม่จำเป็นต้องซื้อ การสั่งซื้อยุ่งยาก ทำไม่เป็น”.

?

?

ที่มาของข้อมูลจาก

EMC ชี้การเมืองวุ่น ภาครัฐชะลอลงทุนไอที คาดธุรกิจสวนทาง โตได้ 2 ดิจิ

อีเอ็มซี เผยแนวโน้มการลงทุนไอที คาดภาคเอกชนยังทุ่มลงทุนด้านไอที หวังเสริมศักยภาพแข่งขันธุรกิจ ชี้ตลาดสตอเรจ-ระบบปลอดภัยข้อมูลยังโตต่อเนื่อง?

เมื่อวันที่ 30 ม.ค. นายนฐกร พจนสัจ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท อีเอ็มซี อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรืออีเอ็มซี เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจไตรมาส 4 ประจำปี 2556 ของอีเอ็มซีสามารถเติบโตได้กว่า 11% ซึ่งเป็นการเติบโตแบบสองหลักอย่างต่อเนื่องมาหลายไตรมาส และแนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นหลายภูมิภาค ทั้งยุโรป อเมริกา และเอเชียแปซิฟิก จากการลงทุนด้านไอทีอย่างต่อเนื่องของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาคเอกชนและราชการ โดยเฉพาะตลาดสตอเรจ และระบบความปลอดภัยข้อมูล ซึ่งขยายตัวอย่างมาก ประกอบกับการมีผลิตภัณฑ์หลากหลายของอีเอ็มซี ทำให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ทั้งในช่วงเวลาปกติ และช่วงเกิดเหตุการณ์ไม่สงบ

ผู้จัดการประจำประเทศไทย อีเอ็มซี กล่าวอีกว่า แนวโน้มการลงทุนขององค์กรในประเทศไทย ท่ามกลางสถานการณ์วุ่นวายทางการเมืองในขณะนี้ มั่นใจว่าภาคธุรกิจขนาดใหญ่จะยังมีการลงทุนด้านไอทีต่อเนื่อง เพราะต้องการใช้เทคโนโลยี และโซลูชั่น เพื่อเพิ่มโอกาสแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นทั่วโลก แต่ในส่วนหน่วยงานราชการนั้น คาดว่าจะชะลอการลงทุนถึงกว่า 90% และจะเห็นแนวโน้มการลงทุนอีกครั้งหลังจากสถานการณ์ทางการเมืองสงบ หรือภายในไตรมาสแรกของปีนี้

นายนฐกร กล่าวด้วยว่า สำหรับสัดส่วนรายได้ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้หลักจากผลิตภัณฑ์กลุ่มสตอเรจราว 65% ระบบกู้คืนข้อมูล 15% ระบบความปลอดภัยข้อมูล 10% และอื่นๆ อีก 10% อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าบริษัทจะสามารถสร้างอัตราการเติบโตในธุรกิจได้ไม่ต่ำกว่าสองหลัก จากการลงทุนด้านไอทีขององค์กรเอกชน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัท โดยคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 80% และเป็นรายได้จากหน่วยงานราชการอีกราว 20%

ด้าน นายสุรักษ์ ธรรมรักษ์ วิศวกรอาวุโส บริษัท อีเอ็มซี อินฟอร์เมชั่น ซิสเต็มส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับการลงทุนด้านไอทีขององค์กรในประเทศไทยนั้น มองว่าจะมีความตื่นตัวขึ้น เมื่อเกิดสถานการณ์หรือความวุ่นวายขึ้น ถือเป็นปัจจัยกระตุ้นการลงทุนด้านไอที เนื่องจากบางหน่วยงานอาจวางแผนการลงทุนไว้นานแล้ว แต่เลือกนำงบประมาณไปลงทุนในส่วนงานอื่นก่อน แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ไม่สงบ จึงหันกลับมาลงทุนอย่างจริงจัง แตกต่างจากหน่วยงานราชการ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการกำหนดแผนการลงทุนด้านไอทีไว้แล้ว แต่มักพบปัญหาในช่วงเริ่มต้นการใช้งานจริง.

?

ที่มาของข้อมูลจาก

อุปกรณ์โมบายล์ของแอปเปิลกว่า 80เปอร์เซนต์ รัน iOS7แล้ว

แอปเปิล เผยข้อมูลระบุว่า กว่า 80% ของสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ที่เป็นไอโอเอส แพลตฟอร์ม ขณะนี้ทำงานผ่านระบบปฏิบัติการ iOS7 แทบทั้งสิ้น มีอัตราเติบโตเมื่อเทียบ iOS6 ถึง 83% ในเวลา 6 เดือน ขณะที่ 17% ของผู้ใช้งานยังเป็น IOS6 และ 3% คือ IOS5…

เว็บไซต์ Mashable รายงานว่า หลังจากที่เปิดตัวระบบปฏิบัติการ iOS7 ไปเมื่อเดือนกันยายน ปี 2013 พบว่า ระบบปฏิบัติการใหม่นี้ มีอัตราการเติบโตแซงหน้า iOS6 ภายในเวลา 6 เดือนถึง 83% ในขณะที่ 17% ของผู้ใช้งานยังเป็น IOS6 และ 3% คือ IOS5 ทำให้อัตราการใช้งานของ iOS7 เพิ่มสูงขึ้น และอยู่บนสมาร์ทโฟนเป็นส่วนใหญ่

ในขณะที่ฝั่งแอนดรอยด์ หลังจากปล่อยรุ่น 4.4 คิทแคทออกมา มีผู้ใช้งานเพียง 1.4% และ 60% ยังคงใช้งานในรุ่น เจลลี่บีนอยู่ และอื่นๆ อีก 20%.

ที่มา? : mashable

ที่มาของข้อมูลจาก

โลกาภิวัตน์ 30/01/57

เย้ยมฤตยู

คณะนักแสดงเย้ยมฤตยูของอินเดีย ไปเปิดการแสดงรถยนต์ไต่บ่อยักษ์ ในงานเทศกาลศาสนาฮินดู ที่เมืองอัลลาฮาบัด ถือเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ ที่ลำน้ำ 2 สาย แม่น้ำคงคาและ สาราวัตถีมาบรรจบกัน.

ไนต์คลับโยคะ

สมาชิกผู้หนึ่งของไนต์คลับ ?มอร์นิ่ง กลอรี? ที่ย่านแฮคนีย์ ของกรุงลอนดอน เริ่มพิธีกรรม หลังจากดื่มน้ำปั่นผลไม้เพื่อสุขภาพ กาแฟ ต่อจากนั้นก็เต้นรำไปตามดนตรีอันร้อนแรง บางคนก็มาทั้งในชุดนอน ไนต์คลับประหลาดแห่งนี้ เปิดเดือนละครั้งเท่านั้น ตั้งแต่เวลา 06.30 น. ถึง 10.30 น. มีบริการฝึกโยคะและนวดด้วย เมื่อปฏิบัติครบคอร์สแล้ว ก็แต่งเนื้อแต่งตัวไปทำงานกันต่อ.

แกรนด์ แคนยอนยังหนุ่ม

ภาพถ่ายวนอุทยานแกรนด์ แคนยอน ในรัฐอริโซนา ของอเมริกา จากระยะความสูง 10 กม. ซึ่งถูกวัดพบว่า มีอายุระหว่าง 5?6 ล้านปี ในแง่ธรณีวิทยา จัดว่ายังอยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่หลายส่วนอาจมีอายุเก่าแก่ถึง 70 ล้าน.

แอบดูคนกินข้าว

ในเกาหลีใต้ ได้เกิดมีการประกอบอาชีพใหม่ขึ้น อย่างเช่น ดาราปาร์ค เซียว เยิน อายุ 34 ปี กำลังละเลียดมื้อเช้า ของทุกวัน ที่อพาร์ตเมนต์ของตน ในเมืองอินชอน ให้สมาชิกเรือนพันเปิดดูทางอินเตอร์เน็ต เป็นเวลานานวันละ 3 ช ม. สร้างรายได้ ให้อย่าง งาม นับเป็นอาชีพใหม่เอี่ยม ในสังคมแบบตัวใครตัวมัน ของชาติเศรษฐีเอเชียชาตินี้.

ที่มาของข้อมูลจาก

เลอโนโวทุ่ม 2.9 พันล้านเหรียญ ซื้อโมโตโรล่าจากกูเกิล

รูปจากทวิตเตอร์ @google

ปิดบิ๊กดีล! เลอโนโวทุ่ม 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซื้อกิจการสมาร์ทโฟน ‘โมโตโรล่า’ จากกูเกิล ในขณะที่กูเกิลยังถือครองสิทธิบัตรด้านเทคโนโลยีกว่า 2,000 ใบอยู่ แต่เลอโนโวสามารถใช้ได้ แต่ปิดล็อกสำหรับงานวิจัยขั้นสูง…

เมื่อวันที่ 29 มกราคม เลอโนโวได้เข้าซื้อกิจการโมโตโรล่า (Motorola) จากกูเกิล (Google) ด้วยจำนวนเงิน 2.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยทางกูเกิลจะยังเป็นเจ้าของในส่วนของสิทธิบัตรโมโตโรล่าอยู่ ซึ่งทางเลอโนโวสามารถมีสิทธิ์ใช้สิทธิบัตรประมาณ 2,000 สิทธิบัตรนี้ได้ แต่จะไม่สามารถใช้ในส่วนงานวิจัยขั้นสูง ที่เพิ่งเปิดตัวแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์ เพื่อใช้สำหรับการสร้างสมาร์ทโฟนต้นแบบ

แลร์รี เพจ ซีอีโอ กูเกิล กล่าวว่า ด้วยตลาดของสมาร์ทโฟนที่มีการแข่งขันสูงอยู่ตอนนี้ จึงมั่นใจได้ว่าศักยภาพที่มีของเลอโนโวจะนำพาการบริการที่ดี พร้อมธุรกิจสมาร์ทโฟนที่จะเติบโตไปได้อย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง พร้อมผลักดันนวัตกรรมใหม่ๆ ในระบบแอนดรอยด์ เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้สมาร์ทโฟนทุกคน

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2012 กูเกิลได้เข้าซื้อกิจการของโมโตโรล่าไปที่ราคา 12.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ.

ที่มา : mashable

ที่มาของข้อมูลจาก

ดีแทค แนะสมัครโรมมิ่งสมาร์ทโฟนให้พร้อมก่อนเที่ยวตรุษจีน

ดีแทค แนะนำแพ็กเกจดาต้าโรมมิ่ง หลังคาดช่วงตรุษจีนมีลูกค้าเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศช่วงวันหยุดตามเทศกาล แนะให้ผู้ใช้งานเตรียมพร้อมสมาร์ทโฟน สมัครแพ็กเกจก่อนใช้งาน เพื่อความสบายใจ ทั้งนี้ ควรต้องศึกษาการทำงาน แอพพลิเคชั่น และรูปแบบการเชื่อมต่อ ป้องกันบิลช็อก…

ดีแทคห่วงใยลูกค้า แนะนำการใช้สมาร์ทโฟนในต่างประเทศ คาดช่วงตรุษจีนมีลูกค้าเดินทางท่องเที่ยวช่วงวันหยุดตามเทศกาล และเฉลิมฉลองที่ต่างประเทศ ชี้ควรเตรียมตัวก่อนเดินทาง พร้อมวางแผนการนำสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตไปใช้งานต่างประเทศ เพื่อไม่ให้ขาดการติดต่อสื่อสาร ควรต้องศึกษาการทำงาน แอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตก่อนล่วงหน้า รวมถึงรูปแบบการเชื่อมต่อออนไลน์ เพื่อการใช้งานดาต้าผ่านแอพพลิเคชั่น เพื่อช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผน พร้อมป้องกันค่าใช้จ่ายที่สูงเกินจากการที่ไม่ได้ใช้งาน

ทั้งนี้ วงเงินค่าบริการ และแพ็กเกจการใช้งานดาต้าในประเทศ จะไม่ครอบคลุมค่าใช้บริการ กรณีนำเครื่องไปใช้งานในต่างประเทศ และถ้าเลือกใช้งานดาต้า ควรสมัครแพ็กเกจเพื่อความสบายใจ

สำหรับขั้นตอนแรกก่อนเดินทาง ลูกค้าดีแทคต้องสมัครเพื่อเปิดบริการใช้งานในต่างประเทศผ่านช่องทาง โทร.1678 หรือสมัครผ่านศูนย์บริการดีแทคสาขาต่างๆ โดยจะได้รับคำแนะนำ หรือข้อมูลเพิ่มเติมในการใช้งานต่างประเทศด้วย กรณีลูกค้าดีแทคที่ย้ายไปโครงข่ายใหม่ ดีแทคไตรเน็ต ต้องเตรียมความพร้อมก่อนเดินทางด้วยการติดต่อช่องทางใดช่องทางหนึ่งดังกล่าว เพื่อตรวจสอบสถานะการเปิดบริการใช้งานในต่างประเทศ และความพร้อมของซิมการ์ด ซึ่งจะตรวจสอบเพียงครั้งเดียวหลังจากย้ายโครงข่ายใช้งาน รวมทั้งต้องตรวจสอบอัตราค่าบริการ วิธีการใช้งาน และประเทศที่ต้องการนำไปใช้งาน

?

ทั้งนี้ ลูกค้าดีแทคสามารถติดต่อได้ที่ 1678 dtac call center หรือศูนย์บริการดีแทคทุกสาขา รวมทั้งสามารถศึกษาอัตราค่าบริการ ข้อมูลโปรโมชั่น และแพ็กเกจต่างๆ ได้ที่ www.dtac.co.th/tha/ir

การเลือกใช้แพ็กเกจดาต้าโรมมิ่ง เหมาะกับกลุ่มลูกค้าดีแทครายเดือน ที่ใช้งานโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นประจำ ช่วยให้ไม่ต้องกังวลกับการที่ต้องเลือกโอเปอร์เรเตอร์ในต่างประเทศ หรือต้องจำกัดการเลือกใช้เฉพาะเครือข่ายโรมมิ่งที่กำหนดไว้อีกต่อไป เป็นการเพิ่มความสบายใจให้กับลูกค้าที่นำสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเบอร์เดิมไปใช้งานในประเทศต่างๆ ทั้งนี้ ถ้าไม่ได้สมัครแพ็กเกจ หรือสมัครแพ็กเกจโดยระบุไม่ตรงประเทศ หรือวันที่ใช้งาน จะถูกคิดอัตราปกติ และจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงตามมาได้

ขณะใช้งานในต่างประเทศ ลูกค้าสามารถตรวจสอบปริมาณการใช้งานได้จาก SMS แจ้งเตือนการใช้งานดาต้าในต่างประเทศ ซึ่งทางดีแทคจะแจ้งให้ลูกค้าทราบเป็นระยะ ถึงปริมาณการใช้งาน (เมกะไบต์) หรืออัตราค่าใช้บริการ (บาท) โดยประมาณ ของดาต้าที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ค่าใช้จ่ายสูง ลูกค้าจึงควรหมั่นตรวจสอบว่าได้รับ SMS แจ้งเตือนแล้วหรือไม่ กรณีฉุกเฉินขณะเดินทางในต่างประเทศ สามารถติดต่อฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ dtac call center +662 202 8100 (ฟรีค่าบริการ) ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ http://www.dtac.co.th/help/form.html

ที่มาของข้อมูลจาก

เตือน 12 สิ่งที่วัยรุ่นไม่ควรทำบนโซเชียลมีเดีย

เตือน! 12 สิ่งที่วัยรุ่น วัยระเริง ที่แสนคึกคะนองยุคใหม่ไม่ควรกระทำบนโซเชียลมีเดีย เพราะอาจได้ไม่คุ้มเสีย และเสี่ยงต่ออนาคตทั้งการเรียนและการทำงานได้…

เมื่อโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น รวมถึงการเข้าถึงที่ง่ายขึ้นอย่างวัยมัธยมและนักศึกษามหาวิทยาลัย ที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์กันอย่างแพร่หลาย และอาจส่งผลกระทบต่ออนาคตหากใช้งานอย่างไม่ระมัดระวังและขาดสติ

ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ จึงขอหยิบยก 12 สิ่งที่วัยรุ่นไม่ควรทำบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ ดังนี้

1. โพสต์กิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
จริงอยู่ที่วัยรุ่นถือเป็นวัยที่กำลังคึกคะนอง และอยากจะทดลองทำสิ่งใหม่ๆ แต่เมื่อใดที่โพสต์ภาพหรือกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย อย่างเช่น ถ่ายรูปทดลองเสพสารเสพติด เป็นต้น โดยถึงแม้ว่า จะตั้งค่าโพสต์ดังกล่าวไว้เป็นส่วนตัวแล้ว แต่ใครที่เป็นเพื่อนกับผู้ใช้ในเฟซบุ๊ก ก็สามารถเซฟภาพหรือดาวน์โหลดวิดีโอไปเผยแพร่ต่อได้ อาจนำมาซึ่งความเสียหายและผลกระทบในชีวิต อย่างการต้องถูกไล่ออกจากสถานศึกษา หรือถูกดำเนินการทางกฎหมาย

2. กลั่นแกล้ง
การข่มขู่กลั่นแกล้ง ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่มักพบได้ในโรงเรียน โดยเฉพาะวัยรุ่นที่อ่อนไหวกับความรู้สึกง่ายๆ ทั้งจากเพื่อนที่ตั้งสเตตัสกลั่นแกล้งผ่านทางเฟซบุ๊ก หรือโซเชียลมีเดียอื่นๆ และเมื่อโดนกลั่นแกล้งมากเข้า ช่องทางที่จะโต้ตอบกลับ หรือระบายความอัดอั้นที่เกิด คือ โซเชียลมีเดียเช่นกัน อย่างการตั้งสเตตัสบนเฟซบุ๊ก หรือเขียนบล็อก เป็นต้น ซึ่งทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและอาจนำมาสู่ความรุนแรง อย่างการฆ่าตัวตาย เป็นต้น

3. โพสต์ว่าครู-อาจารย์
การโพสต์หรือตั้งสเตตัสในแง่ลบเกี่ยวกับครู-อาจารย์ จะนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อการทำงาน หรือสมัครเข้าเรียนในอนาคต ทุกคนสามารถรับรู้ถึงความเห็นและทัศนคติของผู้ใช้ที่มีต่ผู้สอน รวมถึงอาจมองสถาบันในแง่ลบ

4. โพสต์สิ่งไม่เหมาะสมจากคอมพิวเตอร์ หรืออินเทอร์เน็ตของโรงเรียน
โรงเรียนหลายแห่ง มักมีกฎห้ามโพสต์กิจกรรม หรือสเตตัสใดๆ ที่ไม่เหมาะสมจากคอมพิวเตอร์ หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย ทั้งการดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น เรื่องราวลามกอนาจาร เป็นต้น หากมีการตรวจสอบเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ทางเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องจะตรวจสอบจากทาง IP address ซึ่งอาจส่งผลกระทบมายังสถาบันการศึกษาดังกล่าว

5. โพสต์ข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนบุคคล
การโพสต์ข้อมูลที่มีความเป็นส่วนตัวอย่าง ข้อมูลในบัตรประชาชน บัตรประกันสังคม เป็นต้น อาจเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล นำไปสู่การปลอมแปลงเอกสารและสวมรอยเป็นผู้ใช้แทน

6. เจาะจงสถานที่เช็กอินมากเกินไป
การเช็กอินที่ระบุสถานที่แบบเจาะจงมากเกินไป ทั้งที่ผู้ปกครองอาจจะพอใจกับการกระทำแบบนี้ เพราะทำให้ทราบได้ตลอดว่าลูกของตนอยู่ที่ใด แต่อาจจะเป็นการเสี่ยงเกินไป เพราะอาจจะนำมาซึ่งความเสี่ยงของบุคคลแปลกหน้า ที่สามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ซึ่งทำให้เกิดอันตรายก็เป็นได้

7. การโกหกหรือขโมยความคิดผู้อื่น
การอัพเดตรูปภาพ ตั้งสเตตัสผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ว่าได้ไปสถานที่นั้นๆ พบเจอคนดัง หรือก๊อบสเตตัส หรือบทความผู้อื่นมาเป็นของตนเอง ซึ่งการกระทำต่างๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ อาจส่งผลให้ตอนไปสมัครเรียน หรือทำงาน ที่หากมีการตรวจสอบอาจส่งผลกระทบต่ออนาคตได้

8. การคุกคามและความรุนแรง
โพสต์เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรง การคุกคามผู้อื่น แม้ในโลกออฟไลน์จะไม่ได้กระทำเช่นนั้นก็ตาม แต่เมื่อมีคนได้อ่านอาจนำไปสู่ความกลัวและความไม่ปลอดภัย และอาจถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจสอบเรื่องดังกล่าว

9. การโพสต์โดยไม่สนใจนโยบายของโรงเรียน
นโยบายหลายๆ โรงเรียนที่เกี่ยวข้องกับศาสนา มักออกกฎสำหรับการใช้งานโซเชียลมีเดียของนักเรียน ที่ห้ามโพสต์เรื่องที่บิดเบือนไปจากหลักศาสนา หรือการโพสต์ที่อาจส่งผลกระทบต่อศาสนาและตัวสถาบันได้ ซึ่งหากพบเห็น อาจมีการลงโทษนักเรียนที่กระทำความผิด

10. โปรไฟล์ที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ
ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนที่กำลังหางานพาร์ทไทม์ทำ หรือนักศึกษาที่เรียนจบแล้ว กำลังมองหาอาชีพที่มั่นคง การแสดงข้อมูล ข้อความ สเตตัสต่างๆ รวมถึงรูปโปรไฟล์ ควรโพสต์ให้มีความเหมาะสม สื่อถึงความเป็นมืออาชีพ ไม่แสดงความไม่เหมาะสม เพราะผู้ว่าจ้างงานอาจจะเข้ามาตรวจสอบสอดส่องพฤติกรรมของผู้ใช้ และอาจตัดสินการรับเข้าทำงาน จากสิ่งที่พบเจอในโปรไฟล์บนโซเชียลมีเดียของผู้ใช้ก็เป็นได้

11. แม้จะตั้งค่าความเป็นส่วนตัวแต่ก็ใช่ว่าจะ 100%
แม้โซเชียลมีเเดียจะมีฟีเจอร์ ที่สามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวให้กับผู้ใช้งานได้ แต่ก็ใช่ว่าจะปกป้องความเป็นส่วนตัวในการโพสต์เรื่องราวต่างๆ ได้ 100% เพราะใครที่เป็นเพื่อนกับผู้ใช้ก็สามารถนำข้อมูลไปเผยแพร่ต่อได้ ทางที่ดีหากเป็นเรื่องที่ส่วนตัวจริงๆ ไม่ควรโพสต์

12. โพสต์ตามอารมณ์
การโพสต์ หรือทวีตระบายอารมณ์ตอนที่กำลังโกรธ เศร้า หรือเสียใจ อาจเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบที่ทำให้เกิดผลเสียในภายหลัง เมื่อย้อนกลับมาอ่านตอนที่อารมณ์กลับมาดีแล้ว อาจทำให้คนรอบข้างมีทัศนคติไม่ดีเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ของผู้ใช้ก็เป็นได้

ที่มา : mashable

?

ที่มาของข้อมูลจาก