Archive for the ‘วิทยาการ’ Category

ลุ้นระทึก! การทดลอง’บิ๊กแบง’ เซิร์น (CERN)

ลุ้นระทึก! การทดลองสร้างปรากฏการณ์บิ๊กแบงขนาดจิ๋ว นักวิชาการชี้โอกาสเกิดหลุมดำมีน้อย เชื่อถึงเกิดก็ไม่เป็นอันตราย

วันนี้ (10ก.ย.) นับเป็นวันที่เหล่านักฟิสิกส์ที่ห้องปฏิบัติการศูนย์วิจัยนิวเคลียร์แห่ง ยุโรป หรือ ?เซิร์น? (CERN: เป็นตัวย่อจากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งแปลว่า Center of European Nuclear Research) รวมถึงประชาชนทั่วโลก ต่างกำลังเฝ้ารอและลุ้นระทึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการทดลองจำลองการเกิด ปรากฏการณ์บิ๊กแบงโดยใช้เครื่องเร่งอนุภาคความเร็วสูงเกือบเท่าแสงหรือ Large Hadron Collider (LHC) ซึ่งในมุมมองของฟิสิกส์ต่างหวังว่าการทดลองครั้งนี้จะเป็นบันไดอีกขั้นหนึ่ง ที่จะช่วยไขปริศนาปัญหาพื้นฐานที่เกิดขึ้นในเอกภพ ขณะที่สาธารณชนและนักฟิสิกส์บางคนกลับกังวลว่าการทดลองนี้จะทำให้เกิดหลุมดำ ซึ่งจะกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง หรือส่งผลต่อการเปลี่ยนขั้วแม่เหล็กโลก และอาจนำมาซึ่งความหายนะของโลกก็เป็นได้


ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน นักทฤษฎีฟิสิกส์ ที่ปรึกษาด้านวิชาการศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สวทช. ได้แสดงความคิดเห็นว่า โอกาสการเกิดหลุมดำจากการทดลองมีเพียง 1 ใน 50 ล้านเท่านั้น และหากเกิดหลุมดำจริงจะเป็นหลุมดำที่จะมีขนาดเล็กได้ถึงระดับพิโคเมตร หรือ 10-15 เมตรเท่านั้น (เล็กกว่าระดับนาโนเมตร คือ 10-9 เมตร) ทั้งนี้เพราะตามทฤษฎีการเกิดหลุมดำขนาดใหญ่ในเอกภพโดยทั่วไป เกิดจากการยุบตัวด้วยแรงโน้มถ่วงของดาวฤกษ์ กล่าวคือ โดยปกติดาวฤกษ์ในเอกภพจะอยู่ในสภาพสมดุล คือต้องมีแรงผลักออกซึ่งเกิดจากการปล่อยแสงสว่างหรือรังสีที่เกิดจาก ปฏิกิริยานิวเคลียร์ และแรงดึงดูดที่เกิดจากแรงโน้มถ่วง ซึ่งเมื่อดาวฤกษ์ได้เผาผลาญพลังงานนิวเคลียร์ภายในตัวจนหมดจะทำให้ไม่มีแรง ผลักออกเหลือเพียงแรงดึงเข้าสู่จุดศูนย์กลางจนเกิดการยุบตัวกลายเป็นหลุมดำ ขณะที่การทดลองของเซิร์นเป็นการชนกันของอนุภาคโปรตอนที่มีขนาดเล็กมากเมื่อ เทียบกับขนาดของดาวฤกษ์ ดังนั้นหากเกิดหลุมดำก็จะมีขนาดที่เล็กจิ๋ว อีกทั้งตามทฤษฎีของฮอร์กิ้ง (Hawking) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ได้มีการคำนวณไว้ว่า หลุมดำขนาดจิ๋วที่เกิดขึ้นจะมีการระเหิดหรือการสลายตัวภายในเสี้ยววินาที (10-15 วินาที)เท่านั้น ด้วยเหตุนี้อันตรายที่จะเกิดขึ้นจากหลุมดำถือว่าน้อยมากจนไม่น่ากังวลและไม่ มีผลกระทบใดๆให้เห็นเป็นรูปธรรม ที่สำคัญการทดลองทุกรูปแบบของนักฟิสิกส์ได้มีการคำนวณและประเมินความเสี่ยง ที่จะเกิดอันตรายแล้ว ดังนั้นเมื่อเกิดสิ่งผิดปกติจึงหยุดการทดลองได้ทันที

? สิ่งสำคัญที่ควรสนใจคือหากเกิดหลุมดำขนาดจิ๋วจริง ทุกคนจะเห็นว่าหลุมดำรูปร่างเป็นอย่างไร อีกทั้งทฤษฎีของฮอร์กิ้งยังค้นพบว่าหลุมดำไม่ได้เป็นสีดำ เพราะในช่วงการสลายตัวจะมีการปล่อยรังสีฮอร์กิ้ง(Hawking radiation)ออกมา จึงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากหากได้เห็น?

ศ.ดร.สุทัศน์ กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของการศึกษาครั้งนี้นักฟิสิกส์ต้องการดูสิ่งที่เกิดขึ้นจากการ ใช้เครื่องเร่งอนุภาคที่มีขนาดใหญ่และมีพลังงานสูงที่สุดเท่าที่มนุษย์เคย สร้างมา ซึ่งลักษณะของอุปกรณ์เป็นท่ออุโมงค์ที่มีเส้นรอบวงยาว 27 กิโลเมตร สำหรับในการทดลองเครื่องเร่งอนุภาคจะเร่งให้ลำอนุภาคสองลำมีความเร็วใกล้ ความเร็วแสงและเคลื่อนที่สวนทางกันเป็นวงรอบมาชนกัน ก่อให้เกิดพลังงานสูงในระดับ 14 ล้านล้านอิเล็กตรอนโวลต์ ทั้งนี้นักฟิสิกส์หวังว่าพลังงานระดับนี้จะทำให้ ?อนุภาคฮิกก์? (Higgs boson) ซึ่งเป็นอนุภาคที่เกิดจากการชนกันของโปรตอนหลุดออกมา อันจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ทำให้ทฤษฎีแบบจำลองมาตรฐาน (Standard Model) มีความสมบูรณ์ เนื่องจากทฤษฎีได้ทำนายไว้ว่าอนุภาคฮิกก์นี้มีจริง นอกจากนี้การชนกันของอนุภาคที่มีพลังงานระดับสูงมาก ก็มีโอกาสทำให้ได้เห็นอนุภาคแปลกและใหม่ๆอีกหลายชนิดที่มนุษย์ไม่เคยพบมา ก่อน และอาจเป็นการค้นพบครั้งสำคัญที่จะช่วยอธิบายทฤษฎีฟิสิกส์ที่มีอยู่ใน ปัจจุบันให้มีความชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะสามารถตอบคำถามฟิสิกส์ที่ยังตอบไม่ได้หลายคำถาม เช่น ทำไมโปรตอนจึงต้องหนักกว่าอิเล็กตรอน 1,836 เท่า ทำไมจึงต้องมีอะตอมในธรรมชาติ หรือมวลของสสารมาจากไหน เป็นต้น
อย่างไรก็ดีในมุมมองของวงการวิทยาศาสตร์แล้ว การทดลองของนักฟิสิกส์ที่เซิร์นในครั้งนี้จึงถือได้ว่าเป็นบันไดอีกขั้น หนึ่งที่ท้าทายของมนุษย์ เพื่อบุกเบิกขอบเขตแห่งความรู้ของมนุษย์

ข้อมูลจาก ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.)

Tags: , ,

เผยวิธีพิชิตใจสาวให้อยู่หมัด ให้มองหน้าตรงส่ง ยิ้มเอ่ยวาจา

หนุ่มๆที่พยายามลองจีบสาวมาหลายวิธีแล้ว แต่ยังไม่สู้ได้ผลนัก ให้ลองใช้วิธี อย่างที่คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยอเบอร์ดีนพบ ในการศึกษาวิจัยมาสดๆ ร้อนๆ

นายเบน โจนส์ หัวหน้าคณะนักวิจัยเผยผลการศึกษาวิจัยว่า วิธีทำให้ผู้หญิงเกิดความสนใจนั้นไม่ยาก เคล็ดอยู่ตรงที่หากชอบใคร ก็จงบอกให้เจ้าตัวเขาได้รู้ วิธีง่ายๆนั้นเพียงแค่แสดงความรู้สึกบอกออกไปพร้อมกับมองประสานสายตา ส่งยิ้ม หรือไม่ก็แค่บอกว่า ?ผมชอบคุณจริงๆ? เพียงแค่นี้ก็จะได้รับการสนองตอบกลับมา

ข่าวไอที | เกมส์ | ทีวี | ดารา | ภาพยนตร์

นักวิจัยได้สรุปจากการทำกลุ่มทดสอบชายและหญิง 230 คน ให้มองดูบัตรรูปภาพ 4 แบบ ที่แสดงการแสดงออกทางใบหน้าต่างกัน

?สิ่ง ที่เราพบแสดงให้เห็นว่าคนเราชอบใบหน้าคนที่น่าดึงดูดใจ เมื่อใบหน้านั้นมองตรงมาและยิ้มให้? นายโจนส์อธิบาย การศึกษาครั้งนี้สรุปว่าความดึงดูดใจนั้นที่จริงแล้วอยู่ที่ว่าคนในกลุ่ม นั้น จะสามารถผนวกรวมเอาความงามตามธรรมชาติเข้ากับ ?มารยาทสังคม? ได้อย่างไร.

ที่มา : http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=103718

Tags:

คิดหนักสมองก็ทำให้อ้วน ใช้หัวมากยิ่งกินมากเพื่อ เพิ่มพลัง

นักวิทยาศาสตร์พบสาเหตุที่ทำให้อ้วนอีกอย่างหนึ่งว่า การใช้ความคิดมากๆ ก็ทำให้คนเราอ้วนได้

คณะนักวิจัย มหาวิทยาลัยลาวาล ที่นครควิเบค ของแคนาดา ได้ค้นพบในการศึกษาว่า ความตรากตรำจากการทำงานที่ต้องใช้สมองมาก ทำให้ต้องกินจุขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณแคลอรีมากขึ้น และจึงทำให้อ้วน

ข่าวไอที | เกมส์ | ทีวี | ดารา | ภาพยนตร์

พวกเขาได้ศึกษากับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักศึกษา 14 คน โดยสั่งให้ทำงาน ซึ่งไม่ต้องออกแรงอะไรมาก หากแต่หนักสมอง 3 อย่างด้วยกัน มีอ่านหนังสือแล้วพัก อ่านหนังสือแล้วทำย่อเรื่อง และเข้าทดสอบความจำทางคอมพิวเตอร์ แล้วจึงปล่อยให้กินข้าว

จากการสังเกตได้พบว่า การที่ต้องทำงานใช้สมองซึ่งไม่สู้เหนื่อยยากอะไร ทำให้พวกเขาพากันกินจุขึ้น คนที่อ่านเรื่องแล้วต้องทำย่อเรื่อง จะกินมากขึ้นคิดเป็นปริมาณพลังงานเพิ่มอีก 203 แคลอรี และยิ่งคนที่ต้องเข้ารับการทดสอบความจำในคอมพิวเตอร์ ยิ่งกินมากขึ้นคิดเป็นปริมาณพลังงานมากขึ้นอีก 253 แคลอรี

นายจีน ฟิลิปป์ ชาปุต์ หัวหน้านักวิจัย อธิบายว่า เนื่องจากกลูโคสเท่ากับเป็นเชื้อเพลิงของสมอง ในงานที่ต้องใช้ความคิด เพื่อสร้างสมกลูโคสให้พอกับความต้องการของร่างกาย จึงต้องกินอาหารมากขึ้น เพื่อจะได้มีพลังงานมากแคลอรีขึ้น เขายังบอกทำนายว่า ยิ่งในอนาคต ผู้คนทั่วไปจะพากันอ้วนกันใหญ่ เพราะงานที่ต้องใช้ความคิด จะทำกันอยู่ทั่วโลก.

ที่มา : http://www.thairath.co.th/news.php?section=technology&content=103476

Tags:

อันตรายก้นร้อนทำให้เป็นหมัน นั่งรถยนต์นาน หลายชั่วโมงก็เกิดได้

วารสารเรื่องวิทยาศาสตร์ ?นิว ไซเเอนติสท์? อันมีชื่อเสียงของอังกฤษ เปิดเผยรายงานการศึกษา เตือนบรรดาผู้ชายที่ชอบให้ก้นอุ่น นั่งเบาะทำความร้อน ว่า อาจเป็นการทรมาน สังขาร เหมือนกับเอาก้นไปปิ้ง ซึ่งจะทำให้เป็นหมันได้

รายงานกล่าวว่า ตามธรรมชาติของร่างกาย จะผลิตตัวเชื้ออสุจิได้ดีที่สุด เมื่อถุงอัณฑะมีอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิของร่างกาย ซึ่งอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียส สัก 1-2 องศา

จากการศึกษาของนักวิจัย มหาวิทยาลัย เกสเซนของเยอรมนี ได้ใช้เครื่องวัดอุณหภูมิติดกับถุงอัณฑะ ของอาสาสมัครซึ่งเป็นชายฉกรรจ์ 30 คน แล้วให้นั่งบนเบาะทำความร้อนนาน 90 นาที ชั่วเวลาผ่านไปเพียง 1 ชม. อุณหภูมิที่ถุงอัณฑะจะสูงขึ้นรวดเดียวถึง 37.3 องศา ยิ่งของอาสาสมัครคนหนึ่ง สูงถึง 39.7 องศา เมื่อเทียบกับผู้ชายที่นั่งบนเก้าอี้ธรรมดาบนรถ อุณหภูมิพวกเขาเฉลี่ยแล้วจะแค่เพียง 36.7 องศา

รายงานผลการศึกษากล่าวว่า นักวิจัยห่วงว่า ชั่วร้อนขึ้นแค่เล็กน้อย อาจจะไปกระทบกระเทือนขบวนการผลิตตัวอสุจิ เพราะเคยมีการศึกษาเมื่อก่อนหน้ามาแล้วว่า แม้แต่การนั่งที่เก้าอี้ธรรมดาในรถนานเกินกว่า 3 ชั่วโมง ก็อาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพการมีลูกลงได้

ที่มา : http://www.thairath.co.th

Tags: ,

ญี่ปุ่นทำสำเร็จ “ดีเอ็นเอเทียม” ใกล้ได้ใช้เก็บข้อมูลแทนฮาร์ดดิสก์!!

“ดีเอ็นเอ” อาจไม่ได้เป็นแค่แหล่งเก็บข้อมูลพันธุกรรมเพียงอย่างเดียวอีกแล้ว เพราะในอนาคตเราอาจได้เก็บข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ ไว้ในดีเอ็นเอ เมื่อนักวิจัยญี่ปุ่นสังเคราะห์ดีเอ็นเอเทียมได้เป็นครั้งแรกในโลก ด้วยเบสที่สร้างขึ้นมา ทั้งยังมีโครงสร้างเป็นเกลียวคู่วนขวาเหมือนในธรรมชาติ

มาซาฮิโกะ อิโนเอ (Masahiko Inouye) นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโทยามะ (University of Toyama) ประเทศญี่ปุ่น และทีมวิจัย ประสบความสำเร็จในการสังเคราะห์โมเลกุลดีเอ็นเอเทียม เป็นครั้งแรกของโลก ซึ่งไลฟ์ไซน์ด็อตคอมรายงานว่า นักวิจัยได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นนี้ลงในวารสารสมาคมเคมีสหรัฐอเมริกา (American Chemical Society) ฉบับวันที่ 23 ก.ค.51 นี้

หลังจากใช้เวลาศึกษาอยู่หลายปี ในที่สุดทีมนักวิจัยก็สามารถสร้างโมเลกุลดีเอ็นเอเทียมได้ เป็นผลสำเร็จ โดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีขั้นสูง ในการนำองค์ประกอบที่เรียกว่า “เบส” (base) ทั้ง 4 ชนิด ใส่เข้าไปในโมเลกุลของดีเอ็นเอ ซึ่งเบสที่นักวิจัยนำมาใช้นี้เป็นเบสที่ไม่มีอยู่ในธรรมชาติ หรืออาจเรียกว่าเป็นเบสเทียมก็ได้

ทั้งนี้ ในดีเอ็นเอประกอบด้วยเบส 4 ชนิด คือ A, C, G และ T คือรหัสที่เป็นข้อมูลในการสังเคราะห์โปรตีน สำหรับทำหน้าที่ต่างๆ ในเซลล์สิ่งมีชีวิต

โมเลกุลดีเอ็นเอที่ประกอบไปด้วยเบสเทียมนี้ มีโครงสร้างเป็นเกลียวคู่เวียนขวาเช่นเดียวกับดีเอ็นเอตามธรรมชาติ และมีความเสถียรสูง ซึ่งไซน์เดลีระบุด้วยว่า ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ก็เคยสังเคราะห์ดีเอ็นเอ ที่มีเบสเทียมได้บ้างแล้ว แต่มีเบสเทียมเป็นองค์ประกอบอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่สังเคราะห์ดีเอ็นเอโดยใช้เบสเทียมได้ทั้งโมเลกุล

ทั้งนี้ ทีมวิจัยหวังว่าความสำเร็จในครั้งนี้จะนำไปสู่ก้าวใหม่ของเทคโนโลยีในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคด้วยยีน หรือสร้างคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋ว แม้กระทั่งเทคโนโลยีขั้นสูงต่างๆ

อีกทั้งความน่าทึ่งของดีเอ็นเอที่สามารถเก็บข้อมูลทางพันธุกรรมไว้ได้อย่างมหาศาล ทำให้นักวิทยาศาสตร์หวังจะใช้ดีเอ็นเอเทียมภายนอกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต เป็นที่เก็บข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ รวมทั้งขยายขอบเขตการใช้ประโยชน์ไห้ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเคยมีการนำดีเอ็นเอไปใช้ประโยชน์กับวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายมาแล้ว.

ที่มา : rssthai.com

Tags:

เช็กอินห้องพักทันทีที่ก้าวลงเครื่องบิน!

บริการใหม่สุดประทับใจเพื่อลูกค้าจากแดนไกล ไม่ต้องหงุดหงิดหารถรับส่งไม่เจอ หรือต้องรอเจ้าหน้าที่โรงแรมตรวจเอกสาร เป็นผลงานของนักพัฒนาซอฟต์แวร์ไทย

นายสมบูรณ์ ศุขีวิริยะ ประธานกรรมการบริษัท โคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จจากการพัฒนาซอฟต์แวร์บริหารงานโรงแรมว่า ซอฟต์แวร์ดังกล่าวช่วยให้การบริการลูกค้า มีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติที่ใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่บนเครื่องบิน จึงต้องการเดินทางเข้าที่พักเร็วขึ้น ทั้งยังลดการพึ่งพาซอฟต์แวร์นำเข้าที่ราคาแพงอีกด้วย

?

?

?

ยกตัวอย่างการบริการลูกค้า ในการเช็กอินที่สามารถทำได้ ตั้งแต่ลูกค้ามาถึงสนามบิน โดยเจ้าหน้าที่ของโรงแรมตรวจสอบผ่านเครื่องพีดีเอ ซึ่งเชื่อมต่อข้อมูลที่โรงแรมและสนามบิน ก็สามารถตรวจสอบถึงเวลาเครื่องลง ตรวจสอบการจองรถรับ-ส่งโรงแรม หรือรับส่งภาพของลูกค้าที่จะมารับ เพื่อให้พบตัวเร็วขึ้น จากนั้นส่งข้อความ (เอสเอ็มเอส) ไปยังโรงแรม เพื่อแจ้งการเดินทางไปถึงโรงแรมของลูกค้า

ปัจจุบัน กลุ่มโรงแรมที่ใช้ซอฟต์แวร์บริหารงานโรงแรมฝีมือคนไทยนี้ เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวในไทยและเอเชีย โดยเป็นโรงแรมในไทยกว่า 300 แห่ง และโรงแรมอีกกว่า 50 แห่งใน 12 ประเทศแถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย พม่า ลาว เวียดนาม และกัมพูชา เป็นต้น

แม้ว่าซอฟต์แวร์จะได้รับการใช้งานแพร่หลายถึงต่างประเทศ แต่บริษัทจะศึกษาและพัฒนาซอฟต์แวร์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพการใช้งานให้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น การเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างประเทศ ซึ่งเหมาะกับฝ่ายการตลาดที่ไปเสนอขายห้องพักหรือออกบูธต่างประเทศ ให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลโรงแรม เพื่อตรวจสอบข้อมูลห้องพักหรืออื่นๆ แทนการติดต่อทางโทรศัพท์ ทำให้การบริหารงานคล่องตัวยิ่งขึ้น

“การพัฒนาซอฟต์แวร์บริหารงานโรงแรมนี้ใช้เวลากว่า 10 ปี อาศัยการผสมผสานความรู้และประสบการณ์ จากการทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในโรงแรม เข้ากับทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และการร่วมงานกับบริษัทซอฟต์แวร์ของต่างประเทศ ผลงานที่ออกมาจึงได้มาตรฐานไม่แพ้ซอฟต์แวร์นำเข้า และจุดเด่นสำคัญคือ สามารถรองรับความต้องการในแบบที่โรงแรมไทยต้องการได้” นายสมบูรณ์ กล่าว

ที่มา : rssthai.com

Tags:

ปวดหลัง…ภัยเงียบของคนทำงาน!

หนุ่มสาววัยทำงานเกือบทุกคนคงต้องเคยเผชิญกับการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เช่นปวดคอ บ่า ไหล่ สะบัก หรือหลัง ถ้าอาการดังกล่าวสามารถหายได้ภายใน 2-3 วัน เมื่อพักผ่อน ทายา หรือทานยา อาการปวดดังกล่าว ก็ไม่เป็นปัญหา

แต่ถ้าอาการปวดเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีการเพิ่มความรุนแรงและความถี่ขึ้นเรื่อยๆ ให้สงสัยได้เลยว่าคุณได้มีอาการ ของ ?โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง หรือ Myofascial Pain Syndrome? แล้ว ซึ่งหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา ให้ถูกวิธี จะทำให้มีอาการมากขึ้น จนเกิดโรคอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น โรคปวดศีรษะเรื้อรัง โรคไมเกรน โรคความดัน โลหิตสูง อาการนอนไม่หลับ กล้ามเนื้ออ่อนแรง โครงสร้างร่างกายผิดปกติ เป็นต้น

แพทย์อายุรเวท แวร์สมิง แวหมะ แพทย์อายุรเวทประจำศูนย์รักษาไมเกรน และโรคปวดเรื้อรัง Doctor Care ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังว่า ปัจจุบันมี ประชากรกว่าร้อยละ 30 มีปัญหาเรื่องโรคปวดเรื้อรัง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำงานในสำนักงาน ที่ต้องนั่งทำงานและใช้ คอมพิวเตอร์นานๆ โดยสาเหตุที่ทำให้มีการปวดมีอาการเรื้อรัง เกิดจากการหดเกร็ง สะสมของกล้ามเนื้อ จนเป็นก้อนเล็กๆ ขนาด 0.5-1 ซม. ที่เรียกว่า Trigger Point หรือจุดกดเจ็บ จำนวนมาก ซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อและเยื่อ พังพืืด การเกิด Trigger Point ทำให้กล้ามเนื้อนั้นขาดเลือดและออกซิเจน เข้าไปเลี้ยง จนทำให้เกิดการอักเสบ และเกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณที่มี Trigger Point โดยการอักเสบ ของ Trigger Point จะส่งอาการปวดไปที่กล้ามเนื้อบริเวณจุดรวมของ Trigger Point และบริเวณใกล้เคียง

การรักษาด้วย การทานยา ทายา การนวด หรือการใช้ความร้อน เพียงทำให้กล้ามเนื้อส่วนบนมีการ คลายตัว แต่ไม่สามารถสลายจุด Trigger Point ได้ ดังนั้นอาการปวดเพียงดีขึ้นชั่วคราว หลังจากนั้น 2-3 วัน ก็จะกลับมาปวดอีก เนื่องจากยังมีการอักเสบของจุด Trigger Point ภายในกล้ามเนื้อและเยื่อพังพืดยังมีอยู่

อาการที่แสดงออกเด่นชัดของโรคกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง คือ

  1. มีอาการปวดร้าวลึกๆ ของกล้ามเนื้อ ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย โดยอาจปวดตลอดเวลา หรือปวดเฉพาะเวลาทำงาน
  2. ความรุนแรงของการปวด มีได้ตั้งแต่แค่เมื่อยล้าพอรำคาญ จนไปถึงปวดทรมานจนไม่ สามารถขยับกล้ามเนื้อบริเวณที่ปวดได้
  3. บางกรณีมีอาการชา มือและขาร่วมด้วย
  4. บางรายมีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง อาการนอนไม่หลับ
  5. มีอาการผิดปกติของโครงสร้างร่างกาย เช่นไหล่สูงต่ำไม่เท่ากัน หลังงอ คอตก ขาสั้นยาวไม่เท่ากัน

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง คือ

  1. ท่านั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม
  2. ลักษณะงานที่ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวต่อเนื่องนานๆ เช่นการใช้คอมพิวเตอร์
  3. การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อซ้ำๆ
  4. การทำงานที่มีการใช้กล้ามเนื้อท่าเดียวกันซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง
  5. การทำงานของกล้ามเนื้อมากเกินไป ขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ
  6. การขาดดูแลและการบริหารกล้ามเนื้อ

ในปัจจุบัน การรักษาโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง หรือ MPS สามารถรักษาได ้ โดยวิธีการรักษา ที่เรียกว่า ?Trigger Point Therapy? ซึ่งใช้การรักษาเพียงอาทิตย์ละครั้ง ประมาณ 4-6 ครั้ง ก็สามารถทำให้อาการปวดเรื้อรังที่รบกวนอยู่ทุกวันหายได้

หลักในการรักษาแบบ Trigger Point Therapy คือ

  1. ลดอาการปวดที่เกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ
  2. รักษาที่สาเหตุของการปวดแบบเรื้อรัง โดยการสลาย Trigger Point
  3. ป้องกันการกลับมาของ Trigger Point โดยการให้ความรู้ในการทำงานที่ถูกต้อง และการดูแลกล้ามเนื้ออย่างถูกวิธี

การรักษาแบบ Trigger Point Therapy แบ่งการรักษาออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ

  1. การสอบถามประวัติการปวด และตรวจหาจุด Trigger Point ที่ซ่อนอยู่ในกล้ามเนื้อและเยื่อพังพืด
  2. การทำให้กล้ามเนื้อส่วนบนเหนือ Trigger Point ที่มีการหดเกร็ง คลายตัวลงเพื่อลดอาการปวด
  3. เมื่อการเกร็งคลายลง แพทย์จะใช้การกดจุด กดไปที่จุด Trigger Point ที่อยู่ในบริเวณที่ปวด เพื่อทำให้เกิดการคลายตัว และเพื่อนำเลือดและออกซิเจน ไปที่จุด Trigger Point เพื่อลดการอักเสบ

หลังการรักษา 4-6 ครั้ง จุด Trigger Point จะคลายตัวลง เป็นกล้ามเนื้อปกติ จนไม่สามารถใช้มือตรวจเจอได้ จะทำให้วัฐจักรการปวดสิ้นสุดลง

อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง กลับมาเป็นอีก ผู้ป่วยต้องดูแลและบริหาร กล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และมาพบแพทย์อายุรเวทเพื่อตรวจสภาพกล้ามเนื้อ ปีละครั้ง ก็จะทำให้ห่างไกลจากโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง

สนใจสอบถามข้อมูลการรักษาโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง และโรคไมเกรน ได้ที่ คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ DOCTOR CARE?โทร 02-677 7552-3 หรือ 02 320 0013- 4 www.drcareclinic.com

ที่มา : msn thailand

Tags:

จัดสิ่งแวดล้อมหน้าจอคอมพ์ ช่วยสุขภาพดี-ทำงาน มีสุข !

สัปดาห์ที่แล้วทราบสาเหตุของกลุ่มอาการคอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม (CVS) กันไปแล้ว คราวนี้มาว่ากันต่อถึงวิธีการแก้ไข

ในเรื่องนี้ คุณอมรรัตน์ ขยันการนาวี บอกในจดหมายข่าวสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) เดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา พอสรุปหลักใหญ่ใจความได้ว่า ในเมื่ออาการคอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม เกิดจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ ดังนั้น ก็จะต้องจัดรูปแบบการทำงานกับมันให้เหมาะสม นั่นก็คือ

? ถ้าจะต้องทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานเกินไป ให้กะพริบตาบ่อยขึ้น หรือพักสายตาจากคอมพิวเตอร์เป็นระยะๆ เช่น หากทำงานหน้าจอ 20-30 นาที ควรหยุดพักสายตา 2-4 นาที แล้วค่อยลืมตาขึ้นมาทำงานใหม่

? ควรจัดสิ่งแวดล้อม จัดแสงไฟและตำแหน่งจอภาพให้เหมาะสม อย่าให้แสงปะทะกับจอภาพและตาผู้ใช้คอมพิวเตอร์ โดยวางคอมพิวเตอร์ให้ห่างจากตาประมาณ 45-50 เซนติเมตร และวางในระดับที่ต่ำกว่าสายตาประมาณ 10-20 องศา เพื่อจะได้ไม่ต้องเหลือบตาสูง

? การปรับคลื่นแสงที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่จะปรับอยู่ที่ 60 Hz ระดับความถี่นี้จะทำให้เกิดแสงกะพริบ ทำให้ภาพบนจอเต้น ทำให้เราต้องปรับตาเพื่อโฟกัสใหม่ อยู่เรื่อย ทำให้เมื่อยล้าตา ทางที่ดีควรปรับความถี่ให้อยู่ระดับ 70-80 Hz จะทำให้จอภาพเต้นน้อยลง จะได้รู้สึกสบายตาขึ้น

กลุ่มอาการคอมพิวเตอร์ วิชั่น ซินโดรม นั้น เกิดขึ้นได้กับผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกเพศทุกวัย อาการที่เกิดขึ้นมักไม่รุนแรง แต่อาจทำให้ประสิทธิภาพของงานลดลงได้ หากได้แก้ไขและจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมก็จะช่วยให้ ทำงานได้มีประสิทธิภาพ และทำงานอย่างมีความสุขได้ด้วย.

ที่มา : www.thairatch.co.th

Tags: ,

สาวชอบหนุ่มโกนหนวดเหลือสั้น เห็นเป็นคนบึกบึน เอาการเอางาน!

นักวิจัยเมืองผู้ดีอังกฤษพบว่า สาวๆสมัยนี้กลับพึงใจในผู้ชายที่โกนหนวดแถวคางเหลือแค่โคนสั้นๆ มากกว่าโกนทิ้งจนเกลี้ยงเกลาเสียอีก เพราะเห็นว่าเหมาะสมที่จะมาเป็นคู่เชยและคู่ครอง

หนังสือพิมพ์ ?ซันเดย์ เทเลกราฟ? อันมีชื่อเสียง รายงานว่า พวกผู้หญิงมีความนิยมว่า การไว้หนวดระดับนั้น ช่วยให้ดูไม่เป็นชายชาตรีมากเกินไป เป็นผู้ใหญ่ และพร้อมจะปล่อยให้หนวดยาวเมื่อไหร่ก็ได้

หัวหน้าคณะนักวิจัยนายนิค นีฟ แห่งมหาวิทยาลัยนอทธัมเบรีย กล่าวว่า ?ขนหรือหนวด นับเป็นสัญญาณทางสังคมและเพศที่มีพลัง และเป็นเครื่องหมายทางชีววิทยาของความสมบูรณ์ทางเพศที่เด่นชัด

คณะนักวิจัยได้ทำการศึกษากับผู้หญิง 76 คน โดยให้ดูภาพใบหน้าของผู้ชายแบบต่างๆ และขอให้คะแนนของความเป็นชาย ความก้าวร้าว ความมีเสน่ห์ ความเป็นผู้ใหญ่ ตลอดจนถึงความพึงใจที่มีต่อแต่ละรูปด้วย

ผลปรากฏว่า ส่วนใหญ่ต่างเทคะแนนให้กับเจ้าของใบหน้าที่ไว้หนวดสั้นๆ ว่า ในฐานะที่เป็นผู้ชายดูบึกบึน เป็นผู้ใหญ่ และเอาการเอางาน มากกว่าผู้ชายที่ไว้หนวดยาวรุงรัง หรือที่โกนเสียเกลี้ยงเกลา.

ที่มา : thairatch.co.th

Tags:

พุงโตร้ายกาจยิ่งกว่าความอ้วน อันตรายร้ายแรงถึง แก่ชีวิตได้ !

สถาบันศึกษาความสูงวัยแห่งชาติของอเมริกา ศึกษาพบว่า แม้คนที่มีน้ำหนักตัวปกติ แต่ถ้ามีพุงโต ก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้

ดร.แอนน์แมรี่ คอสเตอร์ ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันกล่าวแจ้งว่า ?คนเราไม่ควรจะดูแต่น้ำหนักตัวเท่านั้น หากต้องคำนึงถึงขนาดรอบเอวไว้ด้วย? การมีน้ำหนักเกินหรืออ้วนเกิน เป็นข้อเสียของสุขภาพที่เห็นได้ชัด แต่การวัดวิธีไหนว่า จึงจะเป็นการวัดความแข็งแรงสมบูรณ์ ยังเป็นเรื่องที่ยังโต้เถียงกันอยู่

คณะนักวิจัยได้ติดตามศึกษาชายหญิงสหรัฐฯ วัยระหว่าง 51-72 ปี จำนวน 245,533 คน อยู่นานเป็นเวลา 9 ปี เพื่อหาความสัมพันธ์ของไขมันที่พุง ดัชนีมวลกายและอัตราการเสียชีวิต

โดยพบว่าในหมู่ผู้ชายผู้ที่มีพุงโต พากันเสียชีวิตลงในระหว่างช่วงเวลาของการศึกษา มากยิ่งกว่าเพื่อนฝูงที่ขนาดพุงเล็กกว่ากัน ร้อยละ 22 ในขณะที่ฝ่ายหญิงก็มีผลก็ใกล้เคียงกัน

นอกจากนั้น ถ้าถือตามแนวของ องค์การอนามัยโลก คือผู้ที่พุงโต ได้แก่ ผู้ชายที่มีขนาดรอบพุงเกิน 40 นิ้ว และผู้หญิงที่มีขนาดรอบเอวมากกว่า 35 นิ้ว ก็พบผู้ที่พุงใหญ่ เสียชีวิตลงในช่วงเวลาการศึกษา 9 ปี มากกว่าเพื่อนฝูงที่เอวเล็กกว่า มากกว่ากัน 20%

ดร.แอนน์แมรี่ยอมรับว่า ยังไม่ เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดไขมันที่พุง จึงเป็นภัยต่อสุขภาพนัก จึงจะต้องศึกษากันต่อไป.

ที่มา : thairatch.co.th

Tags: